27 ก.พ. 2554

การวิจารณ์บทเรียนออนไลน์LMS

1. ด้านเนื้อหา
               สำหรับเนื้อหาในการเรียนรายวิชา
0503306 ที่เรียนผ่านระบบออนไลน์นั้น ก็มีความหลากหลายสามารถเข้าดู เข้าไปสืบค้นได้ตลอดเวลา เนื้อหามีความชัดเจนดีทุกบท
                แต่เนื้อหาบางบทก็มีความล่าช้าต่อการออนไลน์และมีการผิดพลาดด้วยทั้งการสื่อความหมายที่กำกวมและสื่อสารไม่ตรงกัน

2. ด้านการจัดการเรียนการสอน
                ในการจัดการเรียนการสอนนั้นสามารถจัดได้ดีพอสมควรเพราะมีการแบ่งกลุ่มผู้เรียนและผู้สอนเข้าด้วยกันเพื่อที่จะเข้าไปสอดส่องดูแล ความประพฤติและเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้เรียนได้ดีแต่ในการจัดการเรียนการสอนยังมีข้อผิดพลาดก็คือ ผู้สอนสอนแต่เนื้อหามากเกินไปไม่ค่อยมีภาคปฏิบัติซึ่งรายวิชานี้ก็เป็นการผลิตสื่อ เนื้อหาก็สำคัญแต่อยากให้เพิ่มปฏิบัติมากกว่านี้ ผู้สอนบางกลุ่มการสอนได้ดี บางกลุ่มก็สอนได้ไม่เต็มที่ แต่ภาพรวมแล้วทุกกลุ่มสอนได้ดี อาจจะมีข้อผิดพลาดบ้างก็ตาม แต่ถือว่า  ผิดเป็นครู…………..
3. ด้านระบบบริหารจัดการเรียนการสอน (LMS)
                ในการเรียนการสอนก็มีความสะดวกสบายมากในการดาวน์โหลดเนื้อหามาอ่านเองหรือสามารถเตรียมเนื้อหาก่อนล่วงหน้าได้ ทำให้ผู้เรียนเรียนได้ทัน เพราะผู้เรียนสามารถทบทวนมาก่อนก็ได้หรือสามารถทบทวนทีหลังก็ได้ และเป็นการฝึกให้ผู้เรียนได้มีความขยัน รู้จักสืบค้นข้อมูล รู้จักวิธีการสืบค้นเนื้อหา สาระต่างๆ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่จะพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักเป็นคนกว้างขวาง เป็นคนรู้จักค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
4. ด้านการจัดกิจกรรมการเรียน โดยเน้นทักษะการแก้ปัญหา การเรียนรู้ด้วยตนเอง และกลุ่ม
                ในการจัดกิจกรรมในบทเรียนนี้รูปแบบออนไลน์ จะไม่ค่อยได้ผลซักเท่าไหร่เพราะผู้เรียนอาจจะไม่ทำกิจกรรมนั้นด้วยตนเองอาจจะให้คนอื่นเป็นคนทำให้ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนไม่ได้ความรู้หรือทักษะตามจุดประสงค์ของผู้สอน
                และในการจัดกิจกรรมกลุ่มซึ่งเป็นการเน้นการแก้ปัญหาด้วยตนเอง หรือเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ดิฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่มีเป้าหมายแบบนี้แต่ในบางครั้งบางโอกาส  การที่ผู้สอนให้ผู้เรียนเป็นผู้แก้ปัญหาด้วยตนเองนั้นก็ไม่ได้ผลตามที่ผู้สอนวางเป้าหมายไว้ เพราะบางครั้งการเรียนรู้ด้วยตนเองมากเกินไปโดยไม่มีผู้ชี้ทางก็ทำให้ผู้เรียนไม่มีกำลังใจที่จะค้นคว้าหาความรู้ และการที่มีงานเยอะเกินไปก็ทำให้ผู้เรียนท้อแท้ในการทำกิจกรรมได้  อยากให้ทั้งการเรียน เนื้อหา บทเรียน ระยะเวลา ให้พอเหมาะพอดี กับหลักสูตรหรือกับรายวิชานั้น และที่สำคัญเรื่องการสื่อสารในบทเรียนแต่ละเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่อง หัวข้องาน เรื่องวันที่ส่ง เรื่องผู้รับผิดชอบอยากให้แม่นยำกว่านี้ 
               การเรียนแบบออนไลน์เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการฝึกให้ทุกคนรู้จัก ศึกษาค้นคว้า รู้จักอ่าน คิด วิเคราะห์ อยากให้มีการเรียนการสอนแบบนี้อีกและพัฒนาต่อไปค่ะ

2 ก.ย. 2553

คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI : Computer Assisted Instruction

 คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI : Computer Assisted Instruction


คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI : Computer Assisted Instruction
หมายถึง สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์เพื่อทำการถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือ ความรู้ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับผู้เรียนในห้องเรียนมากที่สุด โดยนำเสนอสื่อประสม (Multimedia) ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว กราฟิก แผนภูมิ วีดีทัศน์และเสียง โดยจะนำเสนอเนื้อหาทีละจอภาพ ซึ่งเนื้อหาในคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะได้รับการถ่ายทอดในลักษณะที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับธรรมชาติและโครงสร้างของเนื้อหา


ประเภทของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1. Instruction แบบการสอน เพื่อใช้สอนความรู้ใหม่แทนครู ซึ่งจะเป็นการพัฒนาแบบ Self Study Package เป็นรูปแบบของการศึกษาด้วยตนเอง
2. Tutorial แบบสอนซ่อมเสริม หรือทบทวน เป็นบทเรียนเพื่อทบทวนการเรียนจากห้องเรียน หรือจากผู้สอน โดยวิธีใด ๆ จากทางไกลหรือทางใกล้ก็ตาม การเรียนมักจะไม่ใช้ความรู้ใหม่หากแต่จะเป็นความรู้ที่ได้เคยรับมาแล้วใน รูปแบบอื่น ๆ แล้วใช้บทเรียนซ่อมเสริมเพื่อตอกย้ำความเข้าใจที่ถูกต้องและสมบูรณ์ดีขึ้น สามารถใช้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
3. Drill and Practice แบบฝึกหัด และควรจะมีการติดตามผล (Follow up) เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาครั้งต่อ ๆ ไป จากขั้นตอนและฝึกปฏิบัติ เพื่อให้เสริมทักษะและเสริมประสิทธิผลการเรียนของผู้เรียน ที่ใดเวลาใด ก็ได้ สามารถใช้ฝึกหัดทั้งทางด้านทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ รวมทั้งทางช่างอุตสาหกรรมด้วย
4. Simulation แบบสร้างสถานการณ์จำลอง เพื่อใช้สำหรับการเรียนรู้ หรือทดลองจากสภาพการณ์จำลองจากสถานการณ์จริง ซึ่งอาจจะหาไม่ได้หรืออยู่ไกลไม่สามารถนำเข้ามาในห้องเรียนได้
5. Games แบบสร้างเป็นเกมส์ การเรียนรู้บางเรื่องบางระดับบางครั้งการพัฒนาเป็นลักษณะเกมส์สามารถเสริมใการเรียนรู้ได้ดีกว่า การใช้เกมส์เพื่อการเรียน สามารถใช้สำหรับเรียนรู้ความรู้ใหม่หรือเสริมการเรียนในห้องเรียนก็ได้
6. Probllem Solving แบบการแก้ปัญหา เป็นการฝึกการคิดการตัดสินใจ สามารถใช้กับวิชาการต่าง ๆ ที่ต้องการให้สามารถคิดแก้ปัญหา ใช้เพื่อเสริมการสอนในห้องเรียนหรือใช้ในการฝึกทั่ว ๆ ไป นอกห้องเรียนก็ได้เป็นสื่อสำหรับการฝึกผู้บริหารได้ดี
7. Test แบบทดสอบ เพื่อใช้สำหรับตรวจวัดความสามารถของผู้เรียนสามารถใช้ประกอบการสอนในห้องเรียน หรือใช้ตามความต้องการของครู หรือของผู้เรียนเอง รวมทั้งสามารถใช้นอกห้องเรียนสามารถใช้วัดความสามารถของตนเองได้ด้วย
8. Discovery แบบสร้างสถานการณ์ เพื่อให้ค้นพบเป็นการจัดทำเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง โดยการลองผิดลองถูก หรือเป็นการจัดระบบนำล่อง เพื่อชี้นำสู่การเรียนรู้สามารถใช้เรียนรู้ความรู้ใหม่ หรือเป็นการทบทวนความรู้เดิม และใช้ประกอบการสอนในห้องเรียน หรือการเรียนนอกห้องเรียน สถานที่ใด เวลาใด ก็ได้


การพัฒนาบทเรียน CAI
ในการพัฒนาบทเรียน CAI ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบทเรียนรูปแบบใด เริ่มจากหัวเรื่อง เป้าหมายที่กำหนด วัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายผู้ใช้ ที่กำกับมาด้วย การพัฒนาควรจะดำเนินได้เป็น 5 ขั้นตอน คือ
1. วิเคราะห์ (Analysis)
2. ออกแบบ (Design)
3. พัฒนา (Development)
4. สร้าง (Implementation)
5. ประเมินผล (Evaluation)


1. ขั้นการเตรียม (Preparation)
- กำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ (Determine Goals and Objectives) คือการตั้งเป้า
หมายว่าผู้เรียนจะสามารถใช้บทเรียนนี้เพื่อศึกษาในเรื่องใดและลักษณะใด กล่าวคือ เป็นบทเรียนหลักเป็นบทเรียนเสริม เป็นแบบฝึกหัดเพิ่มเติมหรือแบบทดสอบ รวมทั้งการนำเสนอเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการเรียน เราจะต้องทราบพื้นฐานของผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเสียก่อน เพราะความรู้พื้นฐานของผู้เรียนมีอิทธิพลต่อเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการเรียน
- รวบรวมข้อมูล (Collect Resources) หมายถึง การเตรียมพร้อมทางด้านของเอกสารสนเทศ (Information) ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง
- เนื้อหา (Meterials) ได้แก่ ตำรา หนังสือ เอกสารทางวิชาการ หนังสืออ้างอิง สไลด์ภาพต่างๆ
แบบสร้างสถานการณ์จำลอง เพื่อใช้สำหรับการเรียนรู้ หรือทดลองจากสภาพการณ์จำลองจากสถานการณ์จริง ซึ่งอาจจะหาไม่ได้หรืออยู่ไกลไม่สามารถนำเข้ามาในห้องเรียนได้ หรือมีสภาพอันตราย หรืออาจสิ้นเปลืองมากที่ต้องใช้ของจริงซ้ำ ๆ สามารถใช้สาธิตประกอบการสอนใช้เสริมการสอนในห้องเรียน หรือใช้ซ่อมเสริมภายหลังการเรียนนอกห้องเรียน ที่ใด เวลาใด ก็ได้
- การพัฒนาและออกแบบบทเรียน (Instructional Development) คือ หนังสือการออกแบบบทเรียน กระดาษวาดสตอรี่บอร์ด สื่อสำหรับการทำกราฟิก โปรแกรมประมวลผลคำ เป็นต้น
- สื่อในการนำเสนอบทเรียน (Instructional Development System) ได้แก่ การนำเอ
คอมพิวเตอร์สื่อต่างๆ มาใช้งาน
- เรียนรู้เนื้อหา (Learn Content) เช่น การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ การอ่านหนังสือหรือ
เอกสาอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเนื้อหาบทเรียน ถ้าไม่มีการเรียนรู้เนื้อหาเสียก่อนก็ไม่สามารถออกแบบบทเรียนที่มีประสิทธิภาพได้
- สร้างความคิด (Generate Ideas) คือ การระดมสมองนั่นเอง การระดมสมองหมายถึง
การกระตุ้นให้เกิดการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ได้ข้อคิดเห็นต่างๆ เป็นจำนวนมาก
2. ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน (Design Instruction) ขั้นตอนการออกแบบบทเรียน
เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดขั้นหนึ่งในการกำหนดว่าบทเรียนจะออกมามีลักษณะใด
- ทอนความคิด (Elimination of Ideas)
- วิเคราะห์งานและแนวความคิด (Task and Concept Analysis)
- ออกแบบบทเรียนขั้นแรก (Preliminary Lesson Description)
- ประเมินและแก้ไขการออกแบบ (Evaluation and Revision of the Design)
3. ขั้นตอนการเขียนผังงาน (Flowchart Lesson) เป็นการนำเสนอลำดับขั้นโครงสร้างขอ
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผังงานทำหน้าที่เสนอข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม เช่น อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อ
ผู้เรียนตอบคำถามผิด หรือเมื่อไหร่จะมีการจบบทเรียน และการเขียนผังงานขึ้นอยู่กับประเภทของบทเรียนด้วย
4. ขั้นตอนการสร้างสตอรี่บอร์ด (Create Storyboard) เป็นขั้นตอนการเตรียมการนำเสนอข้อความ ภาพ รวมทั้งสื่อใน
รูปแบบมัลติมีเดียต่างๆ ลงบนกระดาษเพื่อให้การนำเสนอข้อความและรูปแบบต่างๆ เหล่านี้เป็นไปอย่างเหมาะสมบน
หน้าจอคอมพิวเตอร์ต่อไป
5. ขั้นตอนการสร้างและการเขียนโปรแกรม (Program Lesson) เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลสตอรีบอร์ดให้กลายเป็น
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ส่วนนี้จะต้องคำนึงถึงฮาร์ดแวร์ ลักษณะและประเภทของบทเรียนที่ต้องการสร้าง โปรแกรมเมอร์และงบประมาณ
6. ขั้นตอนการประกอบเอกสารประกอบบทเรียน (Produce Supporting Materials) เอกสารประกอบบทเรียนอาจแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ คู่มือการใช้ของผู้เรียน คู่มือการใช้ของผู้สอน คู่มือสำหรับแก้ปัญหาเทคนิคต่างๆ และเอกสารประกอบเพิ่มเติมทั่วๆ ไป ผู้เรียนและผู้สอนย่อมมีความต้องการแตกต่างกัน คู่มือจึงไม่เหมือนกัน คู่มือการแก้ปัญหาก็จำเป็นหากการติตตั้งมีความสลับซับซ้อนมาก
7. ขั้นตอนการประเมินผลและแก้ไขบทเรียน (Evaluate and Revise) บทเรียนและเอกสารประกอบทั้งหมดควรที่จะได้รับการประเมิน โดยเฉพาะการประเมินการทำงานของบทเรียน ในส่วนของการนำเสนอนั้นควรจะทำการประเมินก็คือ ผู้ที่มีประสบการณ์ในการออกแบบมาก่อนในการประเมินการทำงานของบทเรียนนั้น ผู้ออกแบบควรที่จะสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนหลังจากที่ได้ทำการเรียนจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นๆ แล้ว โดยผู้ที่เรียนจะต้องมาจากผู้เรียนในกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนนี้อาจจะครอบคลุมถึงการทดสอบนำร่องการประเมินผลจากผู้เชี่ยวชาญได้ในการประเมินการทำงานของบทเรียนนั้นผู้ออกแบบควรที่จะสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนหลังจากที่ได้ทำการเรียนจากคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนั้นๆ แล้ว โดยผู้ที่เรียนจะต้องมาจากผู้เรียนในกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนนี้อาจจะครอบคลุมถึงการทดสอบนำร่องการประเมินผลจากผู้เชี่ยวชาญได้


หลักการในการผลิตสื่อ CAI
    แนวความคิดของกาเย่ เพื่อให้ได้บทเรียนที่เกิดจากการออกแบบในลักษณะการเรียนการสอนจริง โดยยึดหลักการนำเสนอเนื้อหาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ หลักการสอนทั้ง 9 ประการได้แก่
• เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention)
• บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective)
• ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knoeledge)
• นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information)
• ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)
• กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response)
• ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)
• ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance)
• สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer)
รายละเอียดแต่ละขั้นตอน มีดังนี้
 1. เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention)
         ก่อนที่จะเริ่มการนำเสนอเนื้อหาบทเรียน ควรมีการจูงใจและเร่งเร้าความสนใจให้ผู้เรียนอยากเรียน ดังนั้น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจึงควรเริ่มด้วยการใช้ภาพ แสง สี เสียง หรือใช้สื่อประกอบกันหลายๆ อย่าง โดยสื่อที่สร้างขึ้นมานั้นต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและน่าสนใจ ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อความสนใจของผู้เรียน นอกจากเร่งเร้าความสนใจแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนพร้อมที่จะศึกษาเนื้อหาต่อไปในตัวอีกด้วย ตามลักษณะของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน การเร่งเร้าความสนใจในขั้นตอนแรกนี้ก็คือ การนำเสนอบทนำเรื่อง (Title) ของบทเรียนนั่นเอง ซึ่งหลักสำคัญประการหนึ่งของการออกแบบในส่วนนี้คือ ควรให้สายตาของผู้เรียนอยู่ที่จอภาพ โดยไม่พะวงอยู่ที่แป้นพิมพ์หรือส่วนอื่นๆ แต่ถ้าบทนำเรื่องดังกล่าวต้องการตอบสนองจากผู้เรียนโดยการปฏิสัมพันธ์ผ่านทางอุปกรณ์ป้อนข้อมูล ก็ควรเป็นการตอบสนองที่ง่ายๆ เช่น กดแป้น Spacebar คลิกเมาส์ หรือกดแป้นพิมพ์ตัวใดตัวหนึ่งเป็นต้น
สิ่งที่ต้องพิจารณาเพื่อเร่งเร้าความสนใจของผู้เรียนมีดังนี้
     1.เลือกใช้ภาพกราฟฟิกที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อเร่งเร้าความสนใจในส่วนของบทนำเรื่อง โดยมีข้อพิจารณาดังนี้
o 1.1 ใช้ภาพกราฟฟิกที่มีขนาดใหญ่ชัดเจน ง่าย และไม่ซับซ้อน
o 1.2 ใช้เทคนิคการนำเสนอที่ปรากฏภาพได้เร็ว เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเบื่อ
o 1.3 ควรให้ภาพปรากฏบนจอภาพระยะหนึ่ง จนกระทั่งผู้เรียนกดแป้นพิมพ์ใดๆ จึงเปลี่ยนไปสู่แฟรมอื่นๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้เรียน
o 1.4 เลือกใช้ภาพกราฟฟิกที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ระดับความรู้ และเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน
     2.ใช้ภาพเคลื่อนไหวหรือใช้เทคนิคการนำเสนอภาพผลพิเศษเข้าช่วย เพื่อแสดงการเคลื่อนไหวของภาพ แต่ควรใช้เวลาสั้นๆ และง่าย
     3.เลือกใช้สีที่ตัดกับฉากหลังอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสีเข้ม
     4.เลือกใช้เสียงที่สอดคล้องกับภาพกราฟฟิกและเหมาะสมกับเนื้อหาบทเรียน
     5.ควรบอกชื่อเรื่องบทเรียนไว้ด้วยในส่วนของบทนำเรื่อง
2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective)
   วัตถุประสงค์ของบทเรียน นับว่าเป็นส่วนสำคัญยิ่งต่อกระบวนการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนจะได้ทราบถึงความคาดหวังของบทเรียนจากผู้เรียน วัตถุประสงค์ทั่วไปก็มีความจำเป็นที่จะต้องแจ้งให้ผู้เรียนทราบถึงเค้าโครงเนื้อหาแนวกว้างๆ เช่นกัน
3. ทบทวนความรู้เดิม (Activate Prior Knowledge)
   การทบทวนความรู้เดิมก่อนที่จะนำเสนอความรู้ใหม่แก่ผู้เรียน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีการประเมิน ความรู้ที่จำเป็นสำหรับบทเรียนใหม่ เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดปัญหาในการเรียนรู้ มีการทดสอบก่อนบทเรียน (Pre-test) ซึ่งเป็นการประเมินความรู้ของผู้เรียน เพื่อทบทวนเนื้อหาเดิมที่เคยศึกษาผ่านมาแล้ว และเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับเนื้อหาใหม่
4. นำเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information)
    หลักสำคัญในการนำเสนอเนื้อหาของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็คือ ควรนำเสนอภาพที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา ประกอบกับคำอธิบายสั้นๆ ง่าย แต่ได้ใจความ การใช้ภาพประกอบ จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้น และมีความคงทนในการจำได้ดีกว่าการใช้คำอธิบายเพียงอย่างเดียว
5. ชี้แนะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning)
   ตามหลักการและเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition of Learning) ผู้เรียนจะจำเนื้อหาได้ดี หากมีการจัดระบบการเสนอเนื้อหาที่ดีและสัมพันธ์กับประสบการณ์เดิมหรือความรู้เดิมของผู้เรียน บางทฤษฎีกล่าวไว้ว่า การเรียนรู้ที่กระจ่างชัด (Meaningfull Learning) นั้น ทางเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือการที่ผู้เรียนวิเคราะห์และตีความในเนื้อหาใหม่ลงบนพื้นฐานของความรู้และประสบการณ์เดิม รวมกันเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่
6. กระตุ้นการตอบสนองบทเรียน (Elicit Response)
   นักการศึกษากล่าวว่า การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับ
และขั้นตอนของการประมวลผลข้อมูล หากผู้เรียนได้มีโอกาสร่วมคิด ร่วมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับเนื้อหา และร่วมตอบคำถาม จะส่งผลให้มีความจำดีกว่าผู้เรียนที่ใช้วิธีอ่านหรือคัดลอกข้อความจากผู้อื่นเพียงอย่างเดียว
7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback)
    ผลจากการวิจัยพบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะกระตุ้นความสนใจจากผู้เรียนได้มากขึ้น ถ้าบทเรียนนั้นท้าทาย โดยการบอกเป้าหมายที่ชัดเจน และแจ้งให้ผู้เรียนทราบว่าขณะนั้นผู้เรียนอยู่ที่ส่วนใด ห่างจากเป้าหมายเท่าใด
8. ทดสอบความรู้ใหม่ (Assess Performance)
    การทดสอบความรู้ใหม่หลังจากศึกษาบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรียกว่า การทดสอบหลังบทเรียน (Post-test) เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทดสอบความรู้ของตนเอง นอกจากนี้จะยังเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่ เพื่อที่จะไปศึกษาในบทเรียนต่อไปหรือต้องกลับไปศึกษาเนื้อหาใหม่ การทดสอบหลังบทเรียนจึงมีความจำเป็นสำหรับบทเรียน
9. สรุปและนำไปใช้ (Review and Transfer)
     การสรุปและนำไปใช้ จัดว่าเป็นส่วนสำคัญในขั้นตอนสุดท้ายที่บทเรียนจะต้องสรุปมโนคติของเนื้อหาเฉพาะประเด็นสำคัญๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทบทวนความรู้ของตนเองหลังจากศึกษาเนื้อหาผ่านมาแล้ว ในขณะเดียวกัน บทเรียนต้องชี้แนะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือให้ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อแนะแนวทางให้ผู้เรียนได้ศึกษาต่อในบทเรียนถัดไป หรือนำไปประยุกต์ใช้กับงานอื่นต่อไป
องค์ประกอบของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
โดยทั่วไปบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะมีองค์ประกอบหลักที่คล้ายคลึงกันคือประกอบไปด้วยข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และการเชื่อมโยงแบบปฏิสัมพันธ์
ข้อความ
     อาจเป็นตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายเว้นวรรค ที่มีแบบ (Style) หลากหลาย มีความแตกต่างกันทั้งตัวพิมพ์ (Font) ขนาด (size) และสี (Color) รูปแบบของตัวอักษรแต่ละแบบยังสามารถส่งเสริม หรือเป็นข้อจำกัดในการแสดงข้อความได้
เสียง
      เสียงที่เราใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์มี 3 ชนิด คือ เสียงพูด (voice) เสียงดนตรี (Music) และเสียงประกอบ (Sound Effect) เสียงพูดอาจเป็นเสียงการบรรยาย หรือเสียงจากการสนทนาที่ใช้ในบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำหรับเสียงดนตรีจะเป็นท่วงทำนองของเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ
ภาพนิ่ง
      หมายถึง ภาพถ่าย ภาพลายเส้น ซึ่งภาพนิ่ง อาจเป็นภาพขาวดำ หรือสีอื่นๆก็ได้ อาจมี 2 มิติ หรือ 3 มิติ โดยขึ้นอยู่กับความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ ส่วนขนาดของภาพนิ่งก็อาจมีขนาดใหญ่เต็มจอ หรือมีขนาดเล็กกว่านั้น
ภาพเคลื่อนไหว
     ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ในเรื่องการเคลื่อนที่และเคลื่อนไหว ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตัวอักษร หรือภาพเพียงไม่กี่ภาพ ภาพเคลื่อนไหวมีคุณลักษณะเด่นที่ช่วยเร้าความสนใจของผู้เรียนได้ ทั้งการเคลื่อนไหว (Animation) ที่เปลี่ยนตำแหน่งและรูปทรงของภาพ และการเคลื่อนที่ (Moving) ที่เปลี่ยนเฉพาะตำแหน่งหน้าจอ แต่ไม่ได้เปลี่ยนรูปทรงของภาพ
การเชื่อมโยงแบบปฎิสัมพันธ์
     คือการรับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเป็นตัวอักษร โดยใช้โปรแกรมเชื่อมโยงที่เรียกว่า Hypermedia ส่วนโปรแกรมเชื่อมโยงที่เรียกว่า Hyper graphic จะให้ข้อมูลอธิบายเพิ่มเติมด้วยภาพ วิธีการเช่นนี้ผู้เรียนจะใช้เมาส์ชี้แล้วคลิ๊กที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของหน้าจอภาพเช่น ที่ภาพปุ่ม ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว หรือบนตัวอักษร ข้อมูลเพิ่มเติมจะปรากฎให้เห็น นอกจากนี้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนยังมีลักษณะเด่นที่สามารถให้ข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เพื่อตอบสนองหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนได้ทันที แต่ผู้ออกแบบและพัฒนาโปรแกรมควรพิจารณาให้โอกาสผู้เรียนในการตอบผิดซ้ำๆอย่างเหมาะสม การให้โอกาสผู้เรียนตอบผิดซ้ำๆ มากเกินไปจะทำให้ผู้เรียนขาดแรงจูงใจ ส่วนการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อเริมแรงแก่ผู้เรียน อาจทำได้โดยใช้คำกล่าวชมเมื่อผู้เรียนเลือกคำตอบได้ถูกต้อง แต่ควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมเช่นกัน


บรรณานุกรม


http://www.google.co.th/search?as_q=องค์ประกอบของ+CAI&hl=th&num=10&btnG=ค้นหาด้วยGoogle&as_epq=&as_oq=&as_eq=&lr=lang_th&cr=countryTH&as_ft=i&as_filetype=doc&as_qdr=all&as_occt=any&as_dt=i&as_sitesearch=&as_rights=&safe=images
http://dit.dru.ac.th/home/023/cai/03.htm

27 มี.ค. 2553

มโนทัศน์เกี่ยวกับเทคโนโลยีการศึกษาในห้องเรียน

มโนทัศน์เกี่ยวกับเทคโนโลยีการศึกษาในห้องเรียน


ความหมายของคำว่ามโนทัศน์    http://gotoknow.org/blog/mind/7305

มโนทัศน์ (Concept)หมายถึง สิ่งที่สามารถแยกประเภทของสิ่งของ การกระทำ หรือความคิด ที่เกี่ยวกับจิตที่ถูกบันทึกไว้แล้วคือเรื่องราวเกี่ยวกับ ความรู้สึกและการรู้สึกสัมผัส ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็เป็นลักษณะของจิต ( Mind) ซึ่งความว่า Concept นี้ก็ได้เริ่มใช้มาตั้งแต่ช้านาน ราวศตวรรษที่ 17ในสมัยของ Plato ในราวๆ 2000 ปีกว่าได้ ในประเทศไทย ท่านศาสตรารย์หม่อมหลวงตุ้ย ชุมสาย ได้เสนอคำว่า สังกัปป บรรจุไว้คำในหนังสือจิตวิทยาในชีวิตประจำวันของท่าน และสอนลูกศิษย์ในชั้นเรียน ท่านอาจารย์เดโชว์ สวนานนท์ ได้เสนอคำ ความคิดรวบยอด บรรจุไว้ในหนังสือตำราจิตวิทยาของท่านซึ่งคุณครูที่สอบ วิชาครูในสมัยโน้นอ่านกันมาก ส่วนคำมโนทัศน์นั้น ผมพบจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ทั้งสามคำนี้แปลมาจาก Concept ทั้งสองท่านนับเป็นบุคคลสำคัญของคำๆนี้

ประเภทของมโนทัศน์

(๑) มโนทัศน์ธรรมดา (Affirmative Concepts) ได้แก่มโนทัศน์ที่มีลักษณะกำหนด ๑ ลักษณะ เช่น อะไรที่"ร้องเหมียวๆ" คือแมว

(๒) มโนทัศน์ร่วมลักษณะ (Conjunctive Concepts) ได้แก่มโนทัศน์ที่ลักษณะกำหนดสองลักษณะขึ้นไปและเชื่อมด้วย "และ"(And) เช่น อะไรที่ "พูดได้" และ "คิดเหตุผลเป็น" คือคน

(๓) มโนทัศน์แยกลักษณะ(Disjunctive Concepts) ได้แก่มโนทัศน์ที่มีลักษณะกำหนดเชื่อมด้วย "และ / หรือ" (and / or) หรือ "ทั้งสองอย่าง" (both) เช่น ช้างคือ "สัตว์" , หรือ ช้างคือ "สิ่งที่มีงวง" , หรือ ช้างคือ "สัตว์" และ "สิ่งที่มีงวง"

(๔) มโนทัศน์มีเงื่อนไข(Conditional Concepts) เช่น "คนฉลาด คือ คนที่ต้องสอบได้คะแนนสูงสุด"

(๕) มโนทัศน์ที่มีเงื่อนไขสองด้าน (Biconditional Concepts) มโนทัศน์นี้ซับซ้อนมาก นอกจากจะมีลักษณะกำหนดหลายลักษณะแล้ว ยังเป็นเงื่อนไขกันและกันด้วย

ความหมายของเทคโนโลยีการศึกษา
เทคโนโลยีการศึกษา (อังกฤษ: Educational Technology) เป็นศาสตร์ที่ประยุกต์เอาวิชาการต่างๆ มาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งเกิดจากการออกแบบการสอนตามหลักการออกแบบการเรียนการสอน (Instructional Design) โดยคำนึงถึงคุณลักษณะของผู้เรียน ความเหมาะสมของสื่อที่สอดคล้องกับลักษณะเนื้อหาและความสนใจของผู้เรียน

เทคโนโลยีการศึกษา เป็นคำที่มาจากคำสองคำ คือ เทคโนโลยี ที่มีความหมายว่า เป็นศาสตร์แห่งวิธีการ ซึ่งมิได้มีความหมายว่าเป็นศาสตร์แห่งเครื่องมือเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึง วัสดุและวิธีการด้วย เมื่อมาเชื่อมกับคำว่า การศึกษา เกิดเป็นคำใหม่ที่มีความหมายว่า การประยุกต์เครื่องมือ วัสดุและวิธีการไปส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ ตลอดจนการจัดสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อการเรียนรู้

เทคโนโลยีการศึกษายังเป็นศาสตร์ที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว โดยอาศัยหลักการพื้นฐาน

จากหลายสาขาวิชา ทำให้เทคโนโลยีการศึกษามีลักษณะเป็นสหวิทยาการ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมต่างๆได้อย่างกว้างขวาง

มโนทัศน์เทคโนโลยีการศึกษาในเชิงศาสตร์

มโนทัศน์เทคโนโลยีการศึกษาในเชิงศาสตร์ จึงเป็นการขยายแนวคิดเกี่ยวกับโสตทัศน์ศึกษาให้กว้างขวาง ยิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากโสตทัศนศึกษาหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับการใช้ตาดูหูฟัง ดังนั้นอุปกรณ์ในสมัยก่อนมักเน้นการใช้ประสาทสัมผัส ด้านการฟังและการดูเป็นหลัก จึงใช้คำว่าโสตทัศนอุปกรณ์ หรือโสตทัศนูปกรณ์เทคโนโลยีทางการศึกษามีความหมายที่กว้างกว่า ซึ่งอาจพิจารณาจากความคิดรวบยอดของเทคโนโลยีได้เป็น 2 ประการ ดังนี้

1. ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์กายภาพ ( Physical Science Concept) หมายถึง การประยุกต์วิทยาศาสตร์กายภาพ ในรูปของการออกแบบสิ่งประดิษฐ์เพื่อการศึกษา โดยเน้นวัตถุประสงค์ทางการศึกษา ที่สามารถวัดได้อย่างแน่นอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมากกว่ายึดเนื้อหาวิชา เช่น เครื่องฉายภาพยนตร์โทรทัศน์ เครื่องรับโทรทัศน์ ภาพยนตร์ คอมพิวเตอร์ และวัสดุ (Sorftware) ได้แก่ รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ ฯลฯ มาใช้สำหรับการเรียนรู้ของนักเรียนเป็นส่วนใหญ่ การใช้เครื่องมือเหล่านี้ มักคำนึงถึงเฉพาะการควบคุมให้เครื่องทำงาน เน้นเรื่องวัสดุ อุปกรณ์ มากกว่าจะคำนึงถึงจิตวิทยาการเรียนรู้ โดยเฉพาะเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลและการเลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาวิชา

2. ความคิดรวบยอดทางพฤติกรรมศาสตร์ ( Behavioral Science) หมายถึง การนำวิธีการทางจิตวิทยา สังคมวิทยา มานุษยวิทยา กระบวนการกลุ่ม ภาษา การสื่อความหมาย การบริหาร เครื่องยนต์กลไก การรับรู้มาใช้ควบคู่กับผลิตกรรมทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม เพื่อให้ผู้เรียนเปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งจะเน้นเรื่องเทคนิคที่เป็นวิธีการ และกระบวนการเรียนการสอนมากกว่าวัสดุ และเครื่องมือ

พัฒนาการของเทคโนโลยีการศึกษา    http://karnta.blogspot.com/2006/05/blog-post.html

เทคโนโลยีได้ถูกนำมาใช้ทางการศึกษานับแต่สมัยก่อนคริสตกาล นักเทคโนโลยีทาง การศึกษาพวกแรก คือ กลุ่มโซฟิสต์ (The Elder Sophist) ที่ใช้วิธีการสอนแบบบรรยายให้แก่มวลชน แต่วิวัฒนาการในยุคแรกๆนั้น รูปแบบของเทคโนโลยีการศึกษาจะออกมาในการการเขียน เช่น การเขียนสลักลงบนไม้ ส่วนการใช้ชอล์คเขียนบนกระดานดำได้เริ่มในทศวรรษที่ 1800 สำหรับการใช้เทคโนโลยีทางสื่อโสตทัศน์ (Audio visual) สามารถนับย้อนไปได้ถึงต้นทศวรรษที่ 1900 ในขณะที่ โรงเรียนและพิพิธภัณฑ์หลายๆแห่ง เริ่มมีการจัดสภาพห้องเรียนและการใช้สื่อการสอนประเภท ต่างๆ เช่น ใช้สื่อภาพ ภาพวาด ภาพระบายสี สไลด์ ฟิล์ม วัตถุ และแบบจำลองต่างๆ เพื่อการบอกเล่าทางคำพูด (ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา . 2545 ) ในปี ค.ศ. 1913 ได้มีการ พัฒนาเครื่องฉายภาพยนตร์โดย Thomas A. Edison ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1920-1930 เริ่มมีการผลิตเครื่องฉายภาพข้าม ศีรษะ เครื่องบันทึกเสียง วิทยุกระจายเสียง และในช่วงทศวรรษที่ 1950 ได้มีการคิดค้นวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่สามารถใช้เป็นสื่อเพื่อการศึกษาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ จนกระทั่งมาสู่ปลายทศวรรษที่ 1960 ได้เข้าสู่ยุคของคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็น ปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงการใช้สื่อการสอน จนกระทั่งมาสู่ของยุคอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน

25 มี.ค. 2553

ธรรมชาติเรื่องเพศ

บทที่1


ธรรมชาติเรื่องเพศ Nature of Sex

ความหมายของเพศศึกษา (Definition of sex education)

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า “เพศ” หมายถึง รูปแบบที่แสดงให้รู้ว่าหญิงหรือชาย ซึ่งหากจะตีความกันแต่เพียงว่า เพศ คือ ลักษณะบอกให้ใครๆรู้ว่าบุคคลนั้นๆ เป็นผู้หญิงหรือชาย เป็นการยากที่จะเข้าใจความหมายของความรู้เรื่องเพศได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับความหมายของเพศในรูปนามธรรมนั้น เพศ หมายถึง ความรู้สึกและความต้องการทางเพศ หรือ กามมารมณ์ ในทรรศนะของคนทั่วไป คำว่า เรื่องเพศ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า เซ็กส์ (Sex) หมายถึงลักษณะทางกายภาพที่บอกว่าเป็นเพศชายหรือหญิง บางครั้งหมายถึงแรงขับหรือสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ที่แสดงออกเป็นพฤติกรรม บางครั้งหมายถึงพฤติกรรมทางเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์

ในวาทกรรมของสังคมไทย คำว่า เพศ คำเดียวมีความหมายคลอบคลุมวาทกรรมในสังคมตะวันตกปัจจุบันดังนี้

1. ลักษณะทางชีวเพศ (biological sex) ที่บอกว่าเป็นเพศชายหรือหญิง เช่น เพศผู้ เพศเมีย

2. ความเป็นเพศ ( gender) เช่น เพศชาย เพศหญิง

3. ภาวะทางเพศ (sexuality) เช่น รักร่วมเพศ รักสองเพศ และรักต่างเพศ

4. การร่วมเพศ (sexual intercourse) เช่น ร่วมเพศ (ร่วมสังวาส) เพศสัมพันธ์

ดังนั้นคำว่าเพศในภาษาไทย จึงมีความหมายคลอบคลุมคำว่า sex,gender หรือ sexuality ด้วย ส่วนคำว่า ศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรม เมื่อนำคำทั้งสองมาผสมกัน เป็นคำว่า เพศศึกษา จึงมีนักวิชาการให้คำจำกัดความที่หลากหลาย แต่คำจำกัดความนั้นมีความหมายที่คล้ายคลึงกัน เช่น ดอกเตอร์ แมรี่ คาลเดอโรน (Dr. Mary S. calderone) อดีตนายกสภาฝ่ายบริหารของสภาส่งเสริมความรู้เรื่องเพศศึกษาว่า คือ แนวคิดกว้างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเพศในทุกๆด้านรวมทั้งความเป็นชายหญิง โรบิน (Robin) ให้ความหมายว่า เพศศึกษานั้นมองได้กว้างขวางมากกว่าการให้การศึกษา เพื่อช่วยให้เด็กแต่ละคนได้พัฒนาความสามารถสูงสุดของเขา ในฐานะที่เป็นมนุษย์ตลอดชั่วชีวิตเท่านั้น เป้าหมายของการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาในวัยต้นชีวิต คือ การวางรากฐานอันมั่นคงแก่เด็กเพื่อที่ว่า เด็กนั้นจะได้รู้หน้าที่ของตนอย่างดีและมีประสิทธิภาพในฐานะที่เป็นเพศชายหรือหญิงตลอดชีวิตของเขา

ขณะเดียวกัน นายแพทย์ สุพร เกิดสว่าง ได้ระบุว่า องค์กรอนามัยโลก ได้ให้ความหมายของเพศศึกษา ในรายงานวิชาการฉบับที่ 442 ว่าคือ การสอนให้เด็กรู้ถึงกายวิภาค สรีรวิภาค จิตวิทยา และสังคมวิทยา ตลอดจนจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ รวมทั้งเน้นเรื่องความรับผิดชอบและทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเพศที่เหมาะสมกับสภาพที่ดีของสังคมและประเทศชาติ นอกจากนั้นได้มีนักวิชาการหลายคนที่พยายามความหมายของเพศศึกษาเพื่อให้คลอบคลุมทุกๆด้าน ไม่ใช่เฉพาะด้านร่างกาย แต่รวมถึงด้านจิตวิทยา และบทบาททางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง เพื่อสามารถเข้าใจความแต่ต่างขอมทั้งสองเพศ อันจะเป็นพื้นฐานในการปรับตัวดำเนินชีวิตร่วมกันได้อย่างดี

โดยสรุป เพศศึกษา คือ กระบวนการที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ อันเป็นผลทำให้บุคคลข้าใจพฤติกรรมที่เกี่ยวกับชีวิตนับแต่เกิดจนตาย ทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติละการปฏิบัติที่เหมาะสมในเรื่องเพศ เพื่อสามารถปรับตังดำเนินชีวิตร่วมกันได้อย่างดี

บทบาทสำคัญของเพศศึกษา ( Significant roles of sex education)

1. ช่วยให้แต่ละคนเข้าใจและยอมรับหน้าที่ของตน

2. เข้าใจความสำพันธ์ที่ดีต่อกันในฐานะเพื่อนให้เกียรติกัน

3. ตระหนักถึงความแตกต่างในลักษณะการนึกคิดและพฤติกรรมทางเพศ และยอมรับความแตกต่าง

4. เข้าใจการเลือกคู่

5. เข้าใจการเตรียมตัวรับผิดชอบต่อคลอบครัว

6. เข้าใจการเลี้ยงดูบุตร ธิดา ให้เติมโตเป็นพลเมืองดี

ความรู้เรื่องเพศ ( Sex information)

ลักษณะเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ สามารถแบ่งเป็นลักษณะใหญ่ๆ 4 ด้าน ได้แก้ความรู้ชีววิทยา ความรู้ด้านจิตวิทยา และความรู้ด้านสังคมวิทยาและวัฒนธรรม

1. ความรู้ด้านชีววิทยา ( Biological aspect) เช่น กายวิภาคละสรีรวิทยาของระบบสืบพันธ์ของมนุษย์ทั้งชายและหญิง ลักษณะทางพันธุกรรมละสุพันธุกรรม การเจริญเติบโตทางเพศของร่างกาย ภาวะเติบโตทางเพศ การมีประจำเดือนการสืบพันธุ์ การปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอดบุตร เป็นต้น

2. ความรู้ด้านสุขวิทยา ( Hygienic aspect) เช่นเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันการเจ็บป่วยและส่งเสริมสุขภาพทางเพศ สุขวิทยาส่วนบุคคลเกี่ยวกับอวัยวะเพศ พฤติกรรมสุขภาพเมื่อมีประจำเดือน แต่งงาน และความผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะเพศ เป็นต้น

3. ความรู้ด้านจิตวิทยา ( PsyChological aspect) เช่น เรื่องเกี่ยวกับสภาวะจิตใจและอารมณ์ทางเพศในวัยต่างๆ การปรับตัวเข้ากับเพศเดียวกันและต่างเพศ ความรู้สึก ทัศนคติต่อเรื่องเพศ และต่อเพศตรงข้าม เป็นต้น

4. ความรู้ด้านสังคมวิทยาและวัฒนธรรม ( SociologicL and cultural aspect) เช่น เรื่องเกี่ยวกันพัฒนาการทางเพศในด้านสังคม เช่น ความสำพันธ์กับเพศเดียวกันและต่างเพศสัมพันธ์ ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การเกี้ยวพาราสี การเลือกคู่ครอง การใช้ชีวิตคู่ตลอดจนขนบธรรมเนียบประเพณี และวัฒนธรรมทางเพศต่างๆ

สถานการณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ

ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศยังเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่มากเนื่องจากพฤติกรรมทางเพศถือเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นความรับ ดังนั้นข้อมูลที่จะกล่าวต่อไปนี้ จึงอาจมีหลายส่วนที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ในอเมริกามีบางส่วนรายงานแจ้งว่า 30 เปอร์เซ็นต์แของเพศชายและ 28 เปอร์เซ็นต์ ของเพศหญิง มีเพศสัมพันธ์เพียงบางโอกาสในรอบ 1 ปี ในประเทศอังกฤษพบว่าประชาชนใช้เวลา 3.5 ปีของชีวิตสำหรับการกิน 2.5 ปีสำหรับการพูดโทรศัพท์ 2 สัปดาห์สำหรับการจูมพิต และมีเพศสัมพันธ์ 2580 ครั้งกับคู่ (โดยเฉลี่ย ) 5 คน

แม้ว่าอัตราการมีเพศสัมพันธ์จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่พบว่าระยะเวลาความเพศสัมพันธ์หรือการแต่งงานกลับมีผลผกผันกับอัตราการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าอายุ นอกจากนี้อัตราการมีเพศสัมพันธ์ยังแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เพศสัมพันธ์หลังอายุ 40 ปี จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในบางประเทศของทวีปเอเชียเมื่อเทียบกับยุโรป เช่น ในประเทศอินเดีย คู่สมรสหลายๆคู่หยุดมีเพศสัมพันธ์หลังอายุ 50 ปี หรือเมื่อบุตรสาวแต่งงานหรือเมื่อมีหลายคนแรก

จากการสำรวจของ Durex ถึงอัตราการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเจริญพันธุ์ 16-45 ปี พบว่าชาวฝรั่งเศสมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ย 141 ครั้ง ใน 1 ปี ชาวอเมริกันมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ย 138 ครั้งต่อปีชาวอังกฤษมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ย 112 ครั้งต่อปี และต่ำสุดในชาวฮ่องกง 57 ครั้งต่อปี รักร่วมเพศแสดงออกตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของชีวิต และมีความพยายามที่จะหาสาเหตุว่า เกิดจากพันธุกรรม ฮอร์โมน หรือการเลี้ยงดู แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ มีการศึกษาในบราซิล เปรู ฟิลิปปินส์และอเมริกาพบว่า หญิงรักร่วมเพศเกิดขึ้นได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม แม้การยอมรับพฤติกรรมดังกล่าวเริ่มมีมากขึ้น แต่พฤติกรรมรักร่วมเพศยังถือว่าผิดกฎหมายใน 50nประเทศ และผิดกฎหมายเฉพาะชายรักร่วมเพศอีกกว่า 50 ประเทศ และยังมีอยู่บางประเทศที่พฤติกรรมรักร่วมเพศมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ในปัจจุบันมีประเทศในแถบทวีปยุโรปบางประเทศได้ให้ความยินยอม และออกกฎหมายรับรองการแต่งงานระหว่างชายรักร่วมเพศ

ในประเทศไทย พฤติกรรมทางเพศของชายไทยในอดีต มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการใช้บริการทางเพศกับหญิงที่มิได้เป็นภรรยา ที่เรียกว่า โสเภณี มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา จนถึงยุครัตนโกสินทร์ ปลายรัชกาลที่ 5 ได้มีการตราพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทร์ศก 127 ( พ.ศ. 2451) ตอนหนึ่งมีความว่าต้องมีโคมแขวนไว้หน้าโรงเป็นเครื่องหมาย ทั้งนี้ไม่ได้บังคับว่าเป็นโคมสีอะไร แต่สันนิษฐานว่าที่ใช้โคมสีเขียวคงเป็นในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ คือทำโคมใช้กระจกสีเขียวเป็นตัวอย่าง โคมดังกล่าวจึงเป็นสีเขียวเหมือนกันหมด ชาวบ้านเรียกโรงหญิงนครโสเภณีในสมัยนั้น โรงโคมเขียว และเรียกหญิงนครโสเภณีว่า หญิงโคมเขียว ตามลักษณะโคมที่แขวนกฎหมายฉบับนี้จัดเป็นฉบับแรกที่ตราใช้บังคับหญิงนครโสเภณีให้ปฏิบัติตามกฎหมาย และเหตุผลที่ตรากฏหมายฉบับนี้เพื่อควบคุมโรคซึ่งอาจจะติดต่อเนื่องไปถึงผู้ชายที่คบหาสมาคมจนเป็นอันตรายแก่ร่างกายมนุษย์เป็นอันมาก

อาชีพโสเภณี มีวิวัฒนาการมาจากการข่มเหงทางเพศของผู้ชายมาตั้งแต่ยุคมนุษย์ถ้ำและการทอดทิ้งไม่รับผิดชอบของผู้ชายที่มีส่วนบีบคั้นให้ผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่โชคร้าย บวกกับค่านิยมของอดีตในสังคมไทยที่ไม่ส่งเสริมให้เด็กหญิงมีการศึกษามาก หรือระบบการศึกษาจากภาครัฐฯ มีปัญหา เมื่อมีการบีบคั้นทางเศรษฐกิจเข้ามาคุกคาม ผู้หญิงจำนวนหนึ่งจึงตกในฐานะ ด้อยโอกาส และไม่มีทางเลือก จึงดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเข้ามาสู่อาชีพนี้

ในปัจจุบันแม้ว่าสังคมโดยทั่วไปจะถือว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องส่วนตัว พฤติกรรมทางเพศเป็นปัจเจกบุคคลอาจมีผลกระทบต่อผู้อื่นหรือคนส่วนใหญ่ในสังคม และมีผลทำให้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจและทรัพยากรบุคคลมหาศาลได้ เช่น กรณีการแพร่ระบาทของโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ เป็นต้น นอกจากนั้นเรื่องเพศจึงกลายเป็นเรื่องของธุรกิจการค้าในบริบทของกระแสสังคมบริโภคนิยม ภายใต้ระบบทุนนิยม การขยายตัวของธุรกิจบันเทิงและการบริการทางเพศ เพื่อตอบสนองความสุขสำราญทางเพศ ยังเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ที่แอบแฝงกับธุรกิจบันเทิง และการท่องเที่ยวธุรกิจ ประเภทขายบริการทางเพศเฟื่องฟูมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นแหล่งรายได้หล่อเลี้ยงสังคมที่สำคัญ แม้แต่ในช่วงที่สังคมเกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ธุรกิจดังกล่าวยังสามารถดำรงอยู่ได้ และมีการขยายตัวมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เพศสัมพันธ์ยังเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างระหว่างบุคคล และการแต่งงานยังเป็นสถาบันทางสังคมที่สำคัญในการเชื่อมความสำพันธ์ระหว่างครอบครัวเพื่อสร้างพันธมิตรทางด้านการเมืองได้อีกด้วย

เมื่อเรื่องเพศมีบทบาทสำคัญและมีผลกระทบต่อสังคมหลายๆด้าน จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษา เพื่อให้เข้าใจเรื่องเพศและพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ในสังคม ตลอดจนการทำความเข้าใจในวัฒนธรรมทางเพศของกลุ่มสังคมย่อย และเข้าใจความขัดแย้งของวัฒนธรรมทางเพศที่อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมได้

รูปแบบของเพศสัมพันธ์ ( Foms of sexual relation)

รูปแบบของเพศสัมพันธ์ในสังคมสามารถจัดได้เป็นสองลักษณะ คือเพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ

( Heterosexuality) และเพศสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกัน( Homosexualit)

1. เพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ ( Heterosexuality) เพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงและถือว่าเป็นพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากหน้าที่ของเพศสัมพันธ์ในด้านขยายเผ่าพันธุ์ ได้รับการเน้นและปลูกฝัง ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยอมรับและเข้าใจว่าเพศสัมพันธ์แบบชายและหญิงเท่านั้นที่เป็นพฤติกรรมปกติ และการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาของชายกับหญิงเป็นจุดเริ่มต้นของครอบครัวที่ถือว่าเป็นหน่วยพื้นฐานทางสังคมที่เล็กที่สุด และเป็นสถาบันทางสังคมที่สำคัญในการเลี้ยงดูบุตรธิดาให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม

สังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมระบบสามีเดียวภรรยาเดียว หมายถึงการที่ชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ร่วมกันฉันสามาภรรยา แต่คนบางกลุ่มมีระบบครอบครัวแบบหลายาสมีหลายภรรยา ซึ่งในสังคมไทยบางส่วนเป็นแบบสามีเดียวหลายภรรยา

2. เพศสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกัน ( Homosexualit) เป็นความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิงอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากสังคมไทยถือว่าเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงเป็นเพศสัมพันธ์ปกติ ดังนั้นพฤติกรรมรักร่วมเพศจึงกลายเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานของสังคม อย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะมีพฤติกรรมทางเพศแบบรักทั้งสองเพศ ( Bisexuality) ซึ่งมีเพศสัมพันธ์ทั้งกับเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน



วัฒนธรรมทางเพศในสังคมไทย ( Sexual culture in Thai society)

วัฒนธรรมความเชื่อเรื่องเพศ เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมภาวะทางเพศของคนในสังคมและเป็นแนวทางในการแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศของปัจเจกบุคคลทั้งเพศหญิงและเพศชายที่แตกต่างกัน เช่น ความเชื่อว่า ผู้ชายเป็นมนุษย์เพศที่เหนือกว่าผู้หญิง ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย และผู้หญิงเป็นทรัพย์สมบัติของผู้ชาย ความเชื่อว่าความต้องการของผู้ชายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการตอบสนองและหาทางปลดปล่อย ในขณะที่เพศหญิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นผู้ชาย ความเชื่อที่ว่า ผู้ชายชาตรีต้องมีความสมมารถในเรื่องเพศ แต่ผู่หญิงที่ดีไม่ควรแสดงออกเกี่ยวกันเรื่องเพศ เป็นต้น

วัฒนธรรมมาตรฐานสองระดับ(Double standard) ที่กล่าวมานี้มีส่วนกำหนดพฤติกรรมทางเพศหญิงและชายให้แตกต่างกัน และได้รับการกล่อมเกลาผ่านสถาบันต่างๆในสังคม เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา เป็นต้น เพื่อสืบสานวัฒนธรรมความคิดดังกล่าวไปสู่สมาชิกใหม่ของสังคมต่อๆไป

ระบบเครือญาติเป็นระบบเป็นระบบวัฒนธรรมย่อยระบบหนึ่งที่สังคมสร้างและกล่อมเกลาสมาชิกใหม่ในสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาทางเพศ ระบบเครือญาติของสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไม่ค่อยแตกต่างมากมายนักจากระบบเครือญาติในปัจจุบัน การสืบเชื่อสายของสังคมไทยไม่ได้นับญาติจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะนับญาติจากทั้งบิดามารดา และการรับใครเข้าเป็นญาตินั้นมักจะพิจารณาความเหมาะของฐานะและตำแหน่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก

นอกจากนั้น “วัฒนธรรมไทยได้จัดระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเพศหญิงและเพศชายด้วยวิธีการถ่วงดุลอำนาจอย่างแยบยล” แม้สังคมไทยจะมีลักษณะแบบสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ก็ตาม แต่สังคมไทยถือว่าลูกสาวจะต้องทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการสืบทอดและกระจายมรดกของครอบครัว เมื่อแต่งงานผู้ชายจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวของผู้หญิง ผู้ชายจึงต้องเกรงใจและมีสภาพเหมือน “ลูกแกะในฝูงหมาป่า” จะทำอะไรตามใจมากไม่ได้ และจะต้องขยันขันแข็งทำงานเพื่อเป็นที่รักของครอบครัวฝ่ายหญิงการขัดเกลาทางสังคมดังกล่าวจะทำให้ฝ่ายชายมีความผูกพันกับครอบครัวฝ่ายหญิงและมีการพึ่งพาอาศัยกันทำให้มีความสมดุลทางอำนาจ ของทั้งเพศหญิงและเพศชาย

ในปัจจุบันแม้ว่าสภาพสังคมจะเปลี่ยนไปมีการผสมผสานวัฒนธรรมทางเพศของไทยและต่างประเพศผ่านกระแสโลกาภิวัฒน์ แต่วัฒนธรรมไทยดั่งเติมหลายอย่าง ยังมีส่วนกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคมอยู่มาก การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจทำให้มีผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก การอพยพแรงงานจากภาคเกษตรกรรมเข้าสู้ภาคอุตสาหกรรมหนุ่มสาวต้องพรากจากสังคมเดิมเข้ามาสู่สังคมใหม่ ไม่มีพ่อแม่หรือญาติให้การคุ้มครองหรือปรึกษาหารือ การพบปะของหนุ่มสาวง่ายขึ้น ประกอบกับการยอมรับวัฒนธรรมอื่นทั้งวัฒนธรรมตะวันตก และตะวันออก ทำให้การแสดงออกทางเพศเปลี่ยนไป

ประเด็นเรื่องทางเพศได้มีการศึกษาและวิพากษ์ให้เป็นประเด็นสาธารณะมากขึ้น เรื่องเพศที่ถือว่าเป็นรื่องลับ ส่วนตัว ได้รับการกล่าวขาน และถกเถียงมากขึ้นและสื่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือพฤติกรรมทางเพศบางอย่าง ได้มีส่วนทำให้ปัญหาสุขภาพทางเพศและโรคติดต่อทางเพศรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นการศึกษาเรื่องเพศอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมและพฤติกรรมทางเพศของไทย จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก

เพศศาสตร์ (Sexology)

ตามความหมายของ Webster’s New Twentieth Century Dictionary ให้ความจำกัดความไว้ว่า เพศศาสตร์ (Sexology) คือ ศาสตร์ หรือวิทยาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ เพศศาสตร์ เป็นวิทยาการที่ว่าด้วยเรื่องเพศ โดยมีรากฐานมาจากศาสตร์หลายๆแขวง เช่น จิตวิทยา จิตเวช จิตวิเคราะห์ นรีเวชกรรม วิทยายูโร วิทยาเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ (ต่อมฮอร์โมนทั้งหลาย) ศาสตร์เหล่านี้จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องหรือความผิดปกติทางเพศทุกชนิด และสามารถจะช่วยให้มนุษย์ทุกคนมีความสุขที่สุดในเรื่องกามารมณ์ได้ เพศศาสตร์ จึงมีความหมาย ที่แคบๆว่าเพศศึกษา เพราะเพศศึกษานั้น ต้องความรู้กี่กับชีวิตและการศึกษาด้านต่างๆ เช่น สุขวิทยา การแพทย์และสาธารณะสุข การวางแผนครอบครัว ประชาศึกษา จิตวิทยา วัฒนธรรม สังคม การเมือง ศาสนา และศิลธรรม เข้ามาผสมผสานด้วย เพศศึกษาจึงถือได้ว่าเป็นสหวิทยาการ (Multidiscipline)

สุชาติ โสมประยูร และวรรณี โสมประยูร ได้ให้ความเห็นว่า เนื่องจากความจำกัดความของเพศศาสตร์ (Sexology) หมายถึงพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ และมีคนโดยทั่วไปมักจะเข้าใจว่าเกี่ยวกับการสืบพันธุ์หรือกามารมณ์ จึงทำให้ความหมายของเพศศาสตร์แคบลง และยังเห็นว่า เพศศาสตร์น่าจะมีทำนองเดียวกันกับความรู้เรื่องเพศ (sex information) โดยจะต้องขยายขอบเขตทั้งแนวกว้างและแนวลึกของทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านชีวิทยา ด้านสุขวิทยา ด้านจิตวิทยา และด้านสังคมวิทยาและวัฒนธรรม





การแบ่งแขนงของวิชาเพศศาสตร์ สามารถแบ่งตามหัวข้อได้หลายแบบ โดยจะกล่าวในที่นี้ 2 แบบคือ

การแบ่งแบบที่ 1

1. เพศศาสตร์ในด้านสังคมศาสตร์ ประกอบด้วยประวัติความเป็นมา ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต รวมถึงการเปรียบเทียบในแต่ละสังคมหรือวัฒนธรรม

2. เพศศาสตร์ในด้านวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลง ทางสรีรวิทยา ทางกายวิภาคศาสตร์ ตลอดจนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

3. เพศศาสตร์ในด้านจิตวิทยา ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงของจิตใจ ตั้งแต่เริ่มต้นของความสัมพันธ์จนกระทั่งสิ้นสุด การเปลี่ยนแปลงของแต่ละวัย และกรณีความผิดปกติทางด้านจิตใจกับการมีเพศสัมพันธ์

การแบ่งแบบที่ 2 แบ่งโดยการใช้ขอบเขตของ Sexuality

1. คู่ครอง (Sexual partnerships)

2. การปฎิบัติเพศสัมพันธ์(Sexual acts)

3. ความหมายของเพศสัมพันธ์ (Sexual meaning)

4. แรงขับและความสุขสันต์ทางเพศ (Sexual drive and enjoyment)

5. สุขอนามัยทางเพศ (Sexual health)

6. สุขอนามัยการเจริญพันธ์ (Reproductive health)

เนื่องจากแบบแรกเป็นการแบ่งที่เข้าใจง่าย เพศศึกษาในเอกสารนี้ จะกล่าวเรื่องเพศในด้านวิทยาศาสตร์ สังคมและจิตวิทยา เท่านั้น

การพัฒนาและอนาคตของเพศศาสตร์

เมื่อเริ่มต้นของมนุษยชาติการสืบพันธ์และให้กำเนิดบุตรถือเป็นหน้าที่สำคัญ กระบวนการทางสังคมในการเลือกคู่และแต่งงานได้ก็ถือจัดขึ้นเพื่อหน้าที่นี้ ในยุคของบิดาของผู้ปกครอง อำนาจเด็ดขาดต่อภรรยาและบุตรตกอยู่กับบิดา รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์และการเลือกคู่ เมื่อกระบวนการทางสังคมมนุษยชาติเริ่มเปลี่ยนแปลงไป บทบาทของได้ถูกปรับปรุงแก้ไขโดยสังคมวัฒนธรรม การเลือกคู่โดยคำนึกถึงความรัก และต้องการมีคู่เพียงคนเดียว นอกจากนี้ในสังคมปัจจุบันการเลือกคู่หรือจิตกรรมทางเพศยังคำนึงถึงเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเพิ่มเข้ามาอีกด้วย

เพศสัมพันธ์นอกจากจะเป็นหน้าที่หลักทางชีววิทยาของมนุษย์แล้ว ยังช่วยลดความเครียดในการดำรงชีวิตจากการกระตุ้นต่ออวัยวะเพศความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์นอกจากการสืบเผ่าพันธุ์หรือการขยายพันธุ์ของมนุษย์ ดั่งนั้นเพศศาสตร์จึงรวมถึงความสุขที่สำคัญของมนุษย์ที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่อโบราณที่กล่าวถึงการมีเพศสัมพันธ์ไว้เฉพาะการทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ โดยจัดความสุขที่เกิดขึ้นว่าเป็นบาปที่ต้องชำระล้างออกไป สตรีมีหน้าที่ในการตั้งครรภ์และการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งมีผลมาจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นสังคมจึงเริ่มผูกเรื่องเพศศาสตร์และการเจริญพันธุ์เข้าไว้ด้วยกันด้วยเหตุดังกล่าวหญิงหรือชายที่ต้องกรมีคู่ จึงต้องเลือกคู่ของตนให้เหมาะสมกับคุณสมบัติด้านเพศ และด้านการเจริญพันธุ์ไว้ในคนเดียวกัน

การพัฒนาด้านเพศศาสตร์

การพัฒนาดานเพศศาสตร์ สามารถแบ่งได้ 3 ยุค

1. ยุคบิดาธิปไตย (Male dominance and hierarchy)

2. ยุคความรักแบบโรแมนติก (Romantic love)

3. ยุคปัจจุบัน (Modern sexuality)

1.ยุคบิดาธิปไตย

ในยุคของผู้ชายเป็นใหญ่ และยุคของขุนนาง การแลกเปลี่ยนของมีค่าแสตรี ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเพศศาสตร์ก็จัดอยู่ในกระบวนการที่สำคัญของการคงอยู่ของชนเผ่า สตรีและเด็กจะถูกปกป้องอย่างดีจากศัตรูภายนอก เมื่อสังคมเข้มาสู้ยุคบิดาเป็นใหญ่ในบ้านเพศชายสามารถแสดงออกอย่างเสรีในด้านเพศต่อภรรยา หญิงรับใช้ ทาส หรือโสเภณี โดยมีหน้าที่ของสตรีมีเพียงการสร้างความพึ่งพอใจในด้านเพศต่อชาย และการเลี้ยงบุตร เมื่อศึกษาถึงเพศศาสตร์ในช่วง 200 ปี ที่แล้วมาใน ภาษากรีก คำว่า “aphrodisia” หมายถึงการแสดงกิรกยา หรือการสัมผัสซึ่งกระตุ้นความต้องการทางเพศ พฤติกรรมทางเพศและการเร้าอารมณ์ถูกพัฒนาผ่าน ทางอาหาร การแต่งงาน นครโสเภณีและการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กชาย โดยมีการควบคุมเรื่อง อาหาร กรออกกำลังกาย การนอนการสืบพันธ์ ให้มีความสอดคล้องกัน ปัญหาทางเพศทุกชนิด ไม่สามารถนำมาคุยกันได้ จนกระทั่งล่วงเข้าสู่ยุคของสังคมคริสเตียน เพศสัมพันธ์ในสมัยกรีกไม่จำเพราะต้องมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเท่านั้น ยังสามารถมีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี ภรรยาลับ หรือทาสได้อีกด้วย โดยภรรยาต้องซื่อสัตย์ต่อสามีเท่านั้น ในยุคกรีกการแต่งงานได้รับและถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์

ในยุคโรมันมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อเพศหญิง สถานภาพของเพศหญิงมีความสำคัญขึ้น และการแต่งานเป็นไปโดยสมัครใจก็เริ่มได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นในยุคกลาง เพศสัมพันธ์ถูกดำเนินโดยผ่านพิธีการแต่งาน ท่ารวมเพศ จำนวนครั้งและกระบวนการทางเพศสัมพันธ์ถูกนำมาศึกษาและพูดคุยกันอย่างแพร่หลาย ในขณะเดียวกันเพศศึกษายังถูกรังเกียจว่าเป็นเรื่องสกปรกการสืบพันธ์ได้รับการยอมรับเพียงเพื่อผลิตบุตรธิดา มีการกล่าวถึงความบริสุทธิ์ในสตรีเพศสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติและความไม่สมดุลของชีวิตการแต่งาน

2. ยุคความรักแบบโรแมนติก

ในยุคศักดินาการแต่งงานถูกจำกัดเฉพาะกับกลุ่มสังคมเดียวกัน ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถรักษาทรัพย์สมบัติให้คงอยู่เฉพาะกับคนชั้นสูง เมื่อความรักถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ก็พบผลเสียของเรื่องนี้ตามมา ด้วยสมมุติฐานว่าด้วยบุคคลควรรักกับคนที่รักตนและพยายามรักษาคุณภาพของความสัมพันธ์นั้นไว้ ทำให้เกิดแรงกดดันระหว่างเพศขึ้น

ในศตวรรษที่ 19 ได้มีการขับเคลื่อนของขบวนการสังคมนิยมเพื่อนเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความรักเป็นเพียงเพื่อนร่วมประสบการณ์ อย่างไรก็ตามความคิดดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในระหว่างนี้ความคิดเกี่ยวกับความคิดเสรีภาพทำให้บุคคลเริ่มพัฒนาศักยภาพของตน รูปแบบของความรักได้ถูกกำหนดขึ้นมามากมายผ่านวรรณกรรม บทภาพยนตร์ และโดยการหาความรู้ ความรักก็ยังเป็นปัจจัยในการหาคู่ซึ่งจะส่งผลให้มีการแต่งงานต่อไป ในศตวรรษที่ 19 ความรักเป็นเพียงเหตุผลเดียวในการเลือกคู่ เนื่องจากว่าความรักเป็นความรู้สึกที่มีแก่กันและกัน ดังนั้นความรักจึงเป็นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการ และพื้นฐานของสังคมจากสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นในอดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งแบ่งกลุ่มตามหน้าที่ทางสังคม ความรักก็ยังอยู่

เพศศาสตร์ถือว่าเป็นกลไก หรือว่าเป็นของมีค่าที่แท้จริงของความรักที่สร้างขึ้นระหว่างคู่หญิงชาย หรือเป็นเพียงสิ่งที่ทำไปเพื่อให้เพศสัมพันธ์สมบูรณ์ ในปัจจุบันความรักได้ถูกได้ถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของครอบครัว และความสัมพันธ์คล้ายกับการใช้เงินในระบบเศรษฐกิจและใช้อำนาจในการปกครอง ความรักยังเกี่ยวกับเรื่องเพศศาสตร์สัมพันธ์ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นคุณค่าที่แท้จริงของความรัก ความรักเป็นสิ่งถูกต้องเพียงอย่างเดียวในการหาคู่ครอง ปัจจัยอื่นๆ เช่นรายได้ ชั้นของสังคม หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตา ก็ถูกจัดเป็นอันดับรองในการเลือกคู่ ความต้องการของการมีเพศศาสตร์สัมพันธ์ในปัจจุบันได้เพิ่มสิทธิในการต้องการถึงจุดสุดยอด(Orgasm) เข้ามาเกียวข้องในกระบวนการมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย

ในยุคของสิทธิกับเสรีภาพส่วนบุคคล เพศศาสตร์สัมพันธ์ถูกรวมเข้ามากับความรักครอบครัวและการศึกษา ความรักในยุคน้คงอยู่เฉพาะตัวตนของคนที่ตนรักตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดแสดงออกในด้านการงานอย่างเปิดเผย ซึ่งอาจมีผลเสียต่อสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น และความรักได้ถูกวางค่าไว้ยิ่งใหญ่กว่าพิธีแต่งงาน

3. เพศศาสตร์ในปัจจุบัน

เมื่อมีการพัฒนาทางสังคม เพศศาสตร์ได้ถูกแบ่งตามหน้าที่เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศและการสืบพันธ์ ซึ่งหน้าที่ทั้งสองได้ถูกผสมผสานกันโดยชนชั้นกลาง ในศตวรรษที่ 19 ในลักษณะความรักแบบโรแมนติก ซึ่งมีการพัฒนาชีวิตคู่ดังกล่าวนี้ก็เริ่มมีปัญหาเมื่อคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ซึ่งจะถูกจำกัดในฐานะของภรรยา เพศศาสตร์ในแง่ของศิลธรรม และเพศสัมพันธ์ได้ถูกแยกออกจากกัน ในแง่ของศิลธรรมถูกแยกออกในเรื่องการสืบเผ่าพันธุ์ และในแง่การมีเพศสัมพันธ์เพื่อตอบสนองความต้องการทางกาย

อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงเพศสัมพันธ์ว่าเป็นการแสดงออกถึงความรัก เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันความรักถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีความยั่งยืน ในยุคของสิทธิมนุษยชนแบ่งบาน ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน รวมทั้งคู่สามีภรรยาก็มีสิทธิเท่าเทียมกันกับเพื่อนบ้านหรือคนรู้จัก ความเป็นอิสระทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นเหมือนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลดังในยุคเสรีภาพ ความหมายของคำว่ารักจึงถูกเปลี่ยนแปลงไป ด้วยความพยายามที่จะคงความรักระหว่างคู่ของตัว เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของหน้าที่ของครอบครัว เป็นปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าความรักได้จืดจางอย่างรวดเร็ว แต่เด็กๆ ที่เป็นผลจากการมีเพศสัมพันธ์ของพวกเขา ยังต้องการความรักและความเอาใจใส่ไปอีกระยะหนึ่ง

4. เพศศาสตร์ในอนาคต

อนาคตของเพศศาสตร์ขึ้นอยู่กับการคงอยู่ของกระบวนการสิทธิเสรีภาพของบุพการี เพียงคนเดียวมากขึ้นและผลตามมาก็คือ การเรียนรู้ทางสังคมของเด็กและความแอนแอทางเศรษฐกิจของครอบครัว กระบวนการและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลทำให้ชีวิตคู่ไม่ แตกต่างอะไรกับสัตว์ชั้นต่ำที่อาศัยอยู่ในระบบปิด ซึ่งมีความต้องการเพียงเพื่อผสมพันธ์และสืบเผ่าพันธุ์โดยไม่ต้องสนใจใยดีกับสังคม เมื่อมนุษย์ปิดตาจากสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่มีผลกระทบ แม้แต่จิตใจเองก็อาจยากที่จะทนภาวะนี้ได้

เมื่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลพัฒนากว้างออกไปปัญหาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตที่เป็นไปด้วยตนเอง เพื่อตัวเอง มนุษย์จึงให้ความสำคัญต่อสุขภาพของสุขภาพของตนเองสูงสุด เนื่องด้วยสุขภาพเกี่ยวข้องโดยตรงกับเพศสัมพันธ์ สถานฟิตเนสและสถานความงามผุดขึ้น เนื่องด้วยสุขภาพนิยมอย่างมากทั้งเพศชายและเพศหญิง การโฆษณาส่งเสริมการขายใช้สัญลักษณ์ทางเพศเพื่อกระตุ้นลูกค้าวัยเจริญ เป็นเครื่องยืนยันถึงวัฒนธรรมส่วนบุคคล แต่การเติบโตขึ้นของเพศศาสตร์ในปัจจุบันมีบ้างส่วนที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันกับอดีต ความเป็นอิสระของการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งในอดีตถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่กลับได้รับการย่อมรับว่าเป็นเรื่องปกติในปัจจุบันโดยเฉพาะการนำไปพูดในสิ่งในลักษณะเปิดเผย เป็นการดำเนิดการภายใต้วัตถุประสงค์ที่ว่าจะหาความรู้และความจริง นอกจากนี้ความแข็งแรงของร่างกายมนุษย์ ถูกนำมาเกียวข้องกับเพศศาสตร์ ทำให้มนุษย์เกิดความเครียดและความเสี่ยง เพื่อทำให้ร่างกายมีความสมส่วนในการกระตุ้นทางเพศ

โดยสรุป การพัฒนาของเพศสัมพันธ์ในอนาคตน่าจะเป็นไปในลักษณะผสมผสานเมื่อเสรีภาพถูกแทนที่ ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของสังคม มีผลทำให้เกิดการปรับตัวของสังคมเพื่อให้บทบาทถูกแสดงออกอย่างถูกต้อง