บทที่1
ธรรมชาติเรื่องเพศ Nature of Sex
ความหมายของเพศศึกษา (Definition of sex education)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของคำว่า “เพศ” หมายถึง รูปแบบที่แสดงให้รู้ว่าหญิงหรือชาย ซึ่งหากจะตีความกันแต่เพียงว่า เพศ คือ ลักษณะบอกให้ใครๆรู้ว่าบุคคลนั้นๆ เป็นผู้หญิงหรือชาย เป็นการยากที่จะเข้าใจความหมายของความรู้เรื่องเพศได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับความหมายของเพศในรูปนามธรรมนั้น เพศ หมายถึง ความรู้สึกและความต้องการทางเพศ หรือ กามมารมณ์ ในทรรศนะของคนทั่วไป คำว่า เรื่องเพศ หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า เซ็กส์ (Sex) หมายถึงลักษณะทางกายภาพที่บอกว่าเป็นเพศชายหรือหญิง บางครั้งหมายถึงแรงขับหรือสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ที่แสดงออกเป็นพฤติกรรม บางครั้งหมายถึงพฤติกรรมทางเพศหรือการมีเพศสัมพันธ์
ในวาทกรรมของสังคมไทย คำว่า เพศ คำเดียวมีความหมายคลอบคลุมวาทกรรมในสังคมตะวันตกปัจจุบันดังนี้
1. ลักษณะทางชีวเพศ (biological sex) ที่บอกว่าเป็นเพศชายหรือหญิง เช่น เพศผู้ เพศเมีย
2. ความเป็นเพศ ( gender) เช่น เพศชาย เพศหญิง
3. ภาวะทางเพศ (sexuality) เช่น รักร่วมเพศ รักสองเพศ และรักต่างเพศ
4. การร่วมเพศ (sexual intercourse) เช่น ร่วมเพศ (ร่วมสังวาส) เพศสัมพันธ์
ดังนั้นคำว่าเพศในภาษาไทย จึงมีความหมายคลอบคลุมคำว่า sex,gender หรือ sexuality ด้วย ส่วนคำว่า ศึกษา หมายถึง กระบวนการเรียนรู้เพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรม เมื่อนำคำทั้งสองมาผสมกัน เป็นคำว่า เพศศึกษา จึงมีนักวิชาการให้คำจำกัดความที่หลากหลาย แต่คำจำกัดความนั้นมีความหมายที่คล้ายคลึงกัน เช่น ดอกเตอร์ แมรี่ คาลเดอโรน (Dr. Mary S. calderone) อดีตนายกสภาฝ่ายบริหารของสภาส่งเสริมความรู้เรื่องเพศศึกษาว่า คือ แนวคิดกว้างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของเพศในทุกๆด้านรวมทั้งความเป็นชายหญิง โรบิน (Robin) ให้ความหมายว่า เพศศึกษานั้นมองได้กว้างขวางมากกว่าการให้การศึกษา เพื่อช่วยให้เด็กแต่ละคนได้พัฒนาความสามารถสูงสุดของเขา ในฐานะที่เป็นมนุษย์ตลอดชั่วชีวิตเท่านั้น เป้าหมายของการให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาในวัยต้นชีวิต คือ การวางรากฐานอันมั่นคงแก่เด็กเพื่อที่ว่า เด็กนั้นจะได้รู้หน้าที่ของตนอย่างดีและมีประสิทธิภาพในฐานะที่เป็นเพศชายหรือหญิงตลอดชีวิตของเขา
ขณะเดียวกัน นายแพทย์ สุพร เกิดสว่าง ได้ระบุว่า องค์กรอนามัยโลก ได้ให้ความหมายของเพศศึกษา ในรายงานวิชาการฉบับที่ 442 ว่าคือ การสอนให้เด็กรู้ถึงกายวิภาค สรีรวิภาค จิตวิทยา และสังคมวิทยา ตลอดจนจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ รวมทั้งเน้นเรื่องความรับผิดชอบและทัศนคติเกี่ยวกับเรื่องเพศที่เหมาะสมกับสภาพที่ดีของสังคมและประเทศชาติ นอกจากนั้นได้มีนักวิชาการหลายคนที่พยายามความหมายของเพศศึกษาเพื่อให้คลอบคลุมทุกๆด้าน ไม่ใช่เฉพาะด้านร่างกาย แต่รวมถึงด้านจิตวิทยา และบทบาททางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม การเมือง เพื่อสามารถเข้าใจความแต่ต่างขอมทั้งสองเพศ อันจะเป็นพื้นฐานในการปรับตัวดำเนินชีวิตร่วมกันได้อย่างดี
โดยสรุป เพศศึกษา คือ กระบวนการที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ อันเป็นผลทำให้บุคคลข้าใจพฤติกรรมที่เกี่ยวกับชีวิตนับแต่เกิดจนตาย ทั้งในด้านความรู้ ทัศนคติละการปฏิบัติที่เหมาะสมในเรื่องเพศ เพื่อสามารถปรับตังดำเนินชีวิตร่วมกันได้อย่างดี
บทบาทสำคัญของเพศศึกษา ( Significant roles of sex education)
1. ช่วยให้แต่ละคนเข้าใจและยอมรับหน้าที่ของตน
2. เข้าใจความสำพันธ์ที่ดีต่อกันในฐานะเพื่อนให้เกียรติกัน
3. ตระหนักถึงความแตกต่างในลักษณะการนึกคิดและพฤติกรรมทางเพศ และยอมรับความแตกต่าง
4. เข้าใจการเลือกคู่
5. เข้าใจการเตรียมตัวรับผิดชอบต่อคลอบครัว
6. เข้าใจการเลี้ยงดูบุตร ธิดา ให้เติมโตเป็นพลเมืองดี
ความรู้เรื่องเพศ ( Sex information)
ลักษณะเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องเพศ สามารถแบ่งเป็นลักษณะใหญ่ๆ 4 ด้าน ได้แก้ความรู้ชีววิทยา ความรู้ด้านจิตวิทยา และความรู้ด้านสังคมวิทยาและวัฒนธรรม
1. ความรู้ด้านชีววิทยา ( Biological aspect) เช่น กายวิภาคละสรีรวิทยาของระบบสืบพันธ์ของมนุษย์ทั้งชายและหญิง ลักษณะทางพันธุกรรมละสุพันธุกรรม การเจริญเติบโตทางเพศของร่างกาย ภาวะเติบโตทางเพศ การมีประจำเดือนการสืบพันธุ์ การปฏิสนธิ การตั้งครรภ์ และการคลอดบุตร เป็นต้น
2. ความรู้ด้านสุขวิทยา ( Hygienic aspect) เช่นเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันการเจ็บป่วยและส่งเสริมสุขภาพทางเพศ สุขวิทยาส่วนบุคคลเกี่ยวกับอวัยวะเพศ พฤติกรรมสุขภาพเมื่อมีประจำเดือน แต่งงาน และความผิดปกติเกี่ยวกับอวัยวะเพศ เป็นต้น
3. ความรู้ด้านจิตวิทยา ( PsyChological aspect) เช่น เรื่องเกี่ยวกับสภาวะจิตใจและอารมณ์ทางเพศในวัยต่างๆ การปรับตัวเข้ากับเพศเดียวกันและต่างเพศ ความรู้สึก ทัศนคติต่อเรื่องเพศ และต่อเพศตรงข้าม เป็นต้น
4. ความรู้ด้านสังคมวิทยาและวัฒนธรรม ( SociologicL and cultural aspect) เช่น เรื่องเกี่ยวกันพัฒนาการทางเพศในด้านสังคม เช่น ความสำพันธ์กับเพศเดียวกันและต่างเพศสัมพันธ์ ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม การเกี้ยวพาราสี การเลือกคู่ครอง การใช้ชีวิตคู่ตลอดจนขนบธรรมเนียบประเพณี และวัฒนธรรมทางเพศต่างๆ
สถานการณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศ
ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศยังเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนอยู่มากเนื่องจากพฤติกรรมทางเพศถือเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นความรับ ดังนั้นข้อมูลที่จะกล่าวต่อไปนี้ จึงอาจมีหลายส่วนที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง ในอเมริกามีบางส่วนรายงานแจ้งว่า 30 เปอร์เซ็นต์แของเพศชายและ 28 เปอร์เซ็นต์ ของเพศหญิง มีเพศสัมพันธ์เพียงบางโอกาสในรอบ 1 ปี ในประเทศอังกฤษพบว่าประชาชนใช้เวลา 3.5 ปีของชีวิตสำหรับการกิน 2.5 ปีสำหรับการพูดโทรศัพท์ 2 สัปดาห์สำหรับการจูมพิต และมีเพศสัมพันธ์ 2580 ครั้งกับคู่ (โดยเฉลี่ย ) 5 คน
แม้ว่าอัตราการมีเพศสัมพันธ์จะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น แต่พบว่าระยะเวลาความเพศสัมพันธ์หรือการแต่งงานกลับมีผลผกผันกับอัตราการมีเพศสัมพันธ์มากกว่าอายุ นอกจากนี้อัตราการมีเพศสัมพันธ์ยังแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม เพศสัมพันธ์หลังอายุ 40 ปี จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในบางประเทศของทวีปเอเชียเมื่อเทียบกับยุโรป เช่น ในประเทศอินเดีย คู่สมรสหลายๆคู่หยุดมีเพศสัมพันธ์หลังอายุ 50 ปี หรือเมื่อบุตรสาวแต่งงานหรือเมื่อมีหลายคนแรก
จากการสำรวจของ Durex ถึงอัตราการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเจริญพันธุ์ 16-45 ปี พบว่าชาวฝรั่งเศสมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ย 141 ครั้ง ใน 1 ปี ชาวอเมริกันมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ย 138 ครั้งต่อปีชาวอังกฤษมีเพศสัมพันธ์เฉลี่ย 112 ครั้งต่อปี และต่ำสุดในชาวฮ่องกง 57 ครั้งต่อปี รักร่วมเพศแสดงออกตั้งแต่ช่วงแรกเริ่มของชีวิต และมีความพยายามที่จะหาสาเหตุว่า เกิดจากพันธุกรรม ฮอร์โมน หรือการเลี้ยงดู แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ มีการศึกษาในบราซิล เปรู ฟิลิปปินส์และอเมริกาพบว่า หญิงรักร่วมเพศเกิดขึ้นได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม แม้การยอมรับพฤติกรรมดังกล่าวเริ่มมีมากขึ้น แต่พฤติกรรมรักร่วมเพศยังถือว่าผิดกฎหมายใน 50nประเทศ และผิดกฎหมายเฉพาะชายรักร่วมเพศอีกกว่า 50 ประเทศ และยังมีอยู่บางประเทศที่พฤติกรรมรักร่วมเพศมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ในปัจจุบันมีประเทศในแถบทวีปยุโรปบางประเทศได้ให้ความยินยอม และออกกฎหมายรับรองการแต่งงานระหว่างชายรักร่วมเพศ
ในประเทศไทย พฤติกรรมทางเพศของชายไทยในอดีต มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่ามีการใช้บริการทางเพศกับหญิงที่มิได้เป็นภรรยา ที่เรียกว่า โสเภณี มาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา จนถึงยุครัตนโกสินทร์ ปลายรัชกาลที่ 5 ได้มีการตราพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทร์ศก 127 ( พ.ศ. 2451) ตอนหนึ่งมีความว่าต้องมีโคมแขวนไว้หน้าโรงเป็นเครื่องหมาย ทั้งนี้ไม่ได้บังคับว่าเป็นโคมสีอะไร แต่สันนิษฐานว่าที่ใช้โคมสีเขียวคงเป็นในการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ คือทำโคมใช้กระจกสีเขียวเป็นตัวอย่าง โคมดังกล่าวจึงเป็นสีเขียวเหมือนกันหมด ชาวบ้านเรียกโรงหญิงนครโสเภณีในสมัยนั้น โรงโคมเขียว และเรียกหญิงนครโสเภณีว่า หญิงโคมเขียว ตามลักษณะโคมที่แขวนกฎหมายฉบับนี้จัดเป็นฉบับแรกที่ตราใช้บังคับหญิงนครโสเภณีให้ปฏิบัติตามกฎหมาย และเหตุผลที่ตรากฏหมายฉบับนี้เพื่อควบคุมโรคซึ่งอาจจะติดต่อเนื่องไปถึงผู้ชายที่คบหาสมาคมจนเป็นอันตรายแก่ร่างกายมนุษย์เป็นอันมาก
อาชีพโสเภณี มีวิวัฒนาการมาจากการข่มเหงทางเพศของผู้ชายมาตั้งแต่ยุคมนุษย์ถ้ำและการทอดทิ้งไม่รับผิดชอบของผู้ชายที่มีส่วนบีบคั้นให้ผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่โชคร้าย บวกกับค่านิยมของอดีตในสังคมไทยที่ไม่ส่งเสริมให้เด็กหญิงมีการศึกษามาก หรือระบบการศึกษาจากภาครัฐฯ มีปัญหา เมื่อมีการบีบคั้นทางเศรษฐกิจเข้ามาคุกคาม ผู้หญิงจำนวนหนึ่งจึงตกในฐานะ ด้อยโอกาส และไม่มีทางเลือก จึงดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเข้ามาสู่อาชีพนี้
ในปัจจุบันแม้ว่าสังคมโดยทั่วไปจะถือว่าเรื่องเพศเป็นเรื่องส่วนตัว พฤติกรรมทางเพศเป็นปัจเจกบุคคลอาจมีผลกระทบต่อผู้อื่นหรือคนส่วนใหญ่ในสังคม และมีผลทำให้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจและทรัพยากรบุคคลมหาศาลได้ เช่น กรณีการแพร่ระบาทของโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคเอดส์ เป็นต้น นอกจากนั้นเรื่องเพศจึงกลายเป็นเรื่องของธุรกิจการค้าในบริบทของกระแสสังคมบริโภคนิยม ภายใต้ระบบทุนนิยม การขยายตัวของธุรกิจบันเทิงและการบริการทางเพศ เพื่อตอบสนองความสุขสำราญทางเพศ ยังเป็นแหล่งรายได้มหาศาล ที่แอบแฝงกับธุรกิจบันเทิง และการท่องเที่ยวธุรกิจ ประเภทขายบริการทางเพศเฟื่องฟูมากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นแหล่งรายได้หล่อเลี้ยงสังคมที่สำคัญ แม้แต่ในช่วงที่สังคมเกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจ ธุรกิจดังกล่าวยังสามารถดำรงอยู่ได้ และมีการขยายตัวมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้เพศสัมพันธ์ยังเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างระหว่างบุคคล และการแต่งงานยังเป็นสถาบันทางสังคมที่สำคัญในการเชื่อมความสำพันธ์ระหว่างครอบครัวเพื่อสร้างพันธมิตรทางด้านการเมืองได้อีกด้วย
เมื่อเรื่องเพศมีบทบาทสำคัญและมีผลกระทบต่อสังคมหลายๆด้าน จึงสมควรอย่างยิ่งที่เราจะต้องศึกษา เพื่อให้เข้าใจเรื่องเพศและพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ในสังคม ตลอดจนการทำความเข้าใจในวัฒนธรรมทางเพศของกลุ่มสังคมย่อย และเข้าใจความขัดแย้งของวัฒนธรรมทางเพศที่อาจทำให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมได้
รูปแบบของเพศสัมพันธ์ ( Foms of sexual relation)
รูปแบบของเพศสัมพันธ์ในสังคมสามารถจัดได้เป็นสองลักษณะ คือเพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ
( Heterosexuality) และเพศสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกัน( Homosexualit)
1. เพศสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ ( Heterosexuality) เพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงและถือว่าเป็นพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ของคนส่วนใหญ่ เนื่องจากหน้าที่ของเพศสัมพันธ์ในด้านขยายเผ่าพันธุ์ ได้รับการเน้นและปลูกฝัง ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงยอมรับและเข้าใจว่าเพศสัมพันธ์แบบชายและหญิงเท่านั้นที่เป็นพฤติกรรมปกติ และการอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาของชายกับหญิงเป็นจุดเริ่มต้นของครอบครัวที่ถือว่าเป็นหน่วยพื้นฐานทางสังคมที่เล็กที่สุด และเป็นสถาบันทางสังคมที่สำคัญในการเลี้ยงดูบุตรธิดาให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
สังคมไทยในปัจจุบันเป็นสังคมระบบสามีเดียวภรรยาเดียว หมายถึงการที่ชายหนึ่งหญิงหนึ่งอยู่ร่วมกันฉันสามาภรรยา แต่คนบางกลุ่มมีระบบครอบครัวแบบหลายาสมีหลายภรรยา ซึ่งในสังคมไทยบางส่วนเป็นแบบสามีเดียวหลายภรรยา
2. เพศสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกัน ( Homosexualit) เป็นความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิงอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากสังคมไทยถือว่าเพศสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงเป็นเพศสัมพันธ์ปกติ ดังนั้นพฤติกรรมรักร่วมเพศจึงกลายเป็นพฤติกรรมที่ผิดปกติ เบี่ยงเบนไปจากบรรทัดฐานของสังคม อย่างไรก็ตาม บางคนอาจจะมีพฤติกรรมทางเพศแบบรักทั้งสองเพศ ( Bisexuality) ซึ่งมีเพศสัมพันธ์ทั้งกับเพศตรงข้ามและเพศเดียวกัน
วัฒนธรรมทางเพศในสังคมไทย ( Sexual culture in Thai society)
วัฒนธรรมความเชื่อเรื่องเพศ เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมภาวะทางเพศของคนในสังคมและเป็นแนวทางในการแสดงออกของพฤติกรรมทางเพศของปัจเจกบุคคลทั้งเพศหญิงและเพศชายที่แตกต่างกัน เช่น ความเชื่อว่า ผู้ชายเป็นมนุษย์เพศที่เหนือกว่าผู้หญิง ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย และผู้หญิงเป็นทรัพย์สมบัติของผู้ชาย ความเชื่อว่าความต้องการของผู้ชายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการตอบสนองและหาทางปลดปล่อย ในขณะที่เพศหญิงไม่จำเป็นต้องทำเช่นผู้ชาย ความเชื่อที่ว่า ผู้ชายชาตรีต้องมีความสมมารถในเรื่องเพศ แต่ผู่หญิงที่ดีไม่ควรแสดงออกเกี่ยวกันเรื่องเพศ เป็นต้น
วัฒนธรรมมาตรฐานสองระดับ(Double standard) ที่กล่าวมานี้มีส่วนกำหนดพฤติกรรมทางเพศหญิงและชายให้แตกต่างกัน และได้รับการกล่อมเกลาผ่านสถาบันต่างๆในสังคม เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา เป็นต้น เพื่อสืบสานวัฒนธรรมความคิดดังกล่าวไปสู่สมาชิกใหม่ของสังคมต่อๆไป
ระบบเครือญาติเป็นระบบเป็นระบบวัฒนธรรมย่อยระบบหนึ่งที่สังคมสร้างและกล่อมเกลาสมาชิกใหม่ในสังคมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาทางเพศ ระบบเครือญาติของสังคมไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไม่ค่อยแตกต่างมากมายนักจากระบบเครือญาติในปัจจุบัน การสืบเชื่อสายของสังคมไทยไม่ได้นับญาติจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จะนับญาติจากทั้งบิดามารดา และการรับใครเข้าเป็นญาตินั้นมักจะพิจารณาความเหมาะของฐานะและตำแหน่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
นอกจากนั้น “วัฒนธรรมไทยได้จัดระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างเพศหญิงและเพศชายด้วยวิธีการถ่วงดุลอำนาจอย่างแยบยล” แม้สังคมไทยจะมีลักษณะแบบสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ก็ตาม แต่สังคมไทยถือว่าลูกสาวจะต้องทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการสืบทอดและกระจายมรดกของครอบครัว เมื่อแต่งงานผู้ชายจะต้องย้ายเข้าไปอยู่ในครอบครัวของผู้หญิง ผู้ชายจึงต้องเกรงใจและมีสภาพเหมือน “ลูกแกะในฝูงหมาป่า” จะทำอะไรตามใจมากไม่ได้ และจะต้องขยันขันแข็งทำงานเพื่อเป็นที่รักของครอบครัวฝ่ายหญิงการขัดเกลาทางสังคมดังกล่าวจะทำให้ฝ่ายชายมีความผูกพันกับครอบครัวฝ่ายหญิงและมีการพึ่งพาอาศัยกันทำให้มีความสมดุลทางอำนาจ ของทั้งเพศหญิงและเพศชาย
ในปัจจุบันแม้ว่าสภาพสังคมจะเปลี่ยนไปมีการผสมผสานวัฒนธรรมทางเพศของไทยและต่างประเพศผ่านกระแสโลกาภิวัฒน์ แต่วัฒนธรรมไทยดั่งเติมหลายอย่าง ยังมีส่วนกำหนดพฤติกรรมของคนในสังคมอยู่มาก การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจทำให้มีผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก การอพยพแรงงานจากภาคเกษตรกรรมเข้าสู้ภาคอุตสาหกรรมหนุ่มสาวต้องพรากจากสังคมเดิมเข้ามาสู่สังคมใหม่ ไม่มีพ่อแม่หรือญาติให้การคุ้มครองหรือปรึกษาหารือ การพบปะของหนุ่มสาวง่ายขึ้น ประกอบกับการยอมรับวัฒนธรรมอื่นทั้งวัฒนธรรมตะวันตก และตะวันออก ทำให้การแสดงออกทางเพศเปลี่ยนไป
ประเด็นเรื่องทางเพศได้มีการศึกษาและวิพากษ์ให้เป็นประเด็นสาธารณะมากขึ้น เรื่องเพศที่ถือว่าเป็นรื่องลับ ส่วนตัว ได้รับการกล่าวขาน และถกเถียงมากขึ้นและสื่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือพฤติกรรมทางเพศบางอย่าง ได้มีส่วนทำให้ปัญหาสุขภาพทางเพศและโรคติดต่อทางเพศรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นการศึกษาเรื่องเพศอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจวัฒนธรรมและพฤติกรรมทางเพศของไทย จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก
เพศศาสตร์ (Sexology)
ตามความหมายของ Webster’s New Twentieth Century Dictionary ให้ความจำกัดความไว้ว่า เพศศาสตร์ (Sexology) คือ ศาสตร์ หรือวิทยาที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ เพศศาสตร์ เป็นวิทยาการที่ว่าด้วยเรื่องเพศ โดยมีรากฐานมาจากศาสตร์หลายๆแขวง เช่น จิตวิทยา จิตเวช จิตวิเคราะห์ นรีเวชกรรม วิทยายูโร วิทยาเกี่ยวกับต่อมไร้ท่อ (ต่อมฮอร์โมนทั้งหลาย) ศาสตร์เหล่านี้จะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องหรือความผิดปกติทางเพศทุกชนิด และสามารถจะช่วยให้มนุษย์ทุกคนมีความสุขที่สุดในเรื่องกามารมณ์ได้ เพศศาสตร์ จึงมีความหมาย ที่แคบๆว่าเพศศึกษา เพราะเพศศึกษานั้น ต้องความรู้กี่กับชีวิตและการศึกษาด้านต่างๆ เช่น สุขวิทยา การแพทย์และสาธารณะสุข การวางแผนครอบครัว ประชาศึกษา จิตวิทยา วัฒนธรรม สังคม การเมือง ศาสนา และศิลธรรม เข้ามาผสมผสานด้วย เพศศึกษาจึงถือได้ว่าเป็นสหวิทยาการ (Multidiscipline)
สุชาติ โสมประยูร และวรรณี โสมประยูร ได้ให้ความเห็นว่า เนื่องจากความจำกัดความของเพศศาสตร์ (Sexology) หมายถึงพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ และมีคนโดยทั่วไปมักจะเข้าใจว่าเกี่ยวกับการสืบพันธุ์หรือกามารมณ์ จึงทำให้ความหมายของเพศศาสตร์แคบลง และยังเห็นว่า เพศศาสตร์น่าจะมีทำนองเดียวกันกับความรู้เรื่องเพศ (sex information) โดยจะต้องขยายขอบเขตทั้งแนวกว้างและแนวลึกของทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านชีวิทยา ด้านสุขวิทยา ด้านจิตวิทยา และด้านสังคมวิทยาและวัฒนธรรม
การแบ่งแขนงของวิชาเพศศาสตร์ สามารถแบ่งตามหัวข้อได้หลายแบบ โดยจะกล่าวในที่นี้ 2 แบบคือ
การแบ่งแบบที่ 1
1. เพศศาสตร์ในด้านสังคมศาสตร์ ประกอบด้วยประวัติความเป็นมา ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต รวมถึงการเปรียบเทียบในแต่ละสังคมหรือวัฒนธรรม
2. เพศศาสตร์ในด้านวิทยาศาสตร์ ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลง ทางสรีรวิทยา ทางกายวิภาคศาสตร์ ตลอดจนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
3. เพศศาสตร์ในด้านจิตวิทยา ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงของจิตใจ ตั้งแต่เริ่มต้นของความสัมพันธ์จนกระทั่งสิ้นสุด การเปลี่ยนแปลงของแต่ละวัย และกรณีความผิดปกติทางด้านจิตใจกับการมีเพศสัมพันธ์
การแบ่งแบบที่ 2 แบ่งโดยการใช้ขอบเขตของ Sexuality
1. คู่ครอง (Sexual partnerships)
2. การปฎิบัติเพศสัมพันธ์(Sexual acts)
3. ความหมายของเพศสัมพันธ์ (Sexual meaning)
4. แรงขับและความสุขสันต์ทางเพศ (Sexual drive and enjoyment)
5. สุขอนามัยทางเพศ (Sexual health)
6. สุขอนามัยการเจริญพันธ์ (Reproductive health)
เนื่องจากแบบแรกเป็นการแบ่งที่เข้าใจง่าย เพศศึกษาในเอกสารนี้ จะกล่าวเรื่องเพศในด้านวิทยาศาสตร์ สังคมและจิตวิทยา เท่านั้น
การพัฒนาและอนาคตของเพศศาสตร์
เมื่อเริ่มต้นของมนุษยชาติการสืบพันธ์และให้กำเนิดบุตรถือเป็นหน้าที่สำคัญ กระบวนการทางสังคมในการเลือกคู่และแต่งงานได้ก็ถือจัดขึ้นเพื่อหน้าที่นี้ ในยุคของบิดาของผู้ปกครอง อำนาจเด็ดขาดต่อภรรยาและบุตรตกอยู่กับบิดา รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์และการเลือกคู่ เมื่อกระบวนการทางสังคมมนุษยชาติเริ่มเปลี่ยนแปลงไป บทบาทของได้ถูกปรับปรุงแก้ไขโดยสังคมวัฒนธรรม การเลือกคู่โดยคำนึกถึงความรัก และต้องการมีคู่เพียงคนเดียว นอกจากนี้ในสังคมปัจจุบันการเลือกคู่หรือจิตกรรมทางเพศยังคำนึงถึงเรื่องสิทธิส่วนบุคคลเพิ่มเข้ามาอีกด้วย
เพศสัมพันธ์นอกจากจะเป็นหน้าที่หลักทางชีววิทยาของมนุษย์แล้ว ยังช่วยลดความเครียดในการดำรงชีวิตจากการกระตุ้นต่ออวัยวะเพศความสุขจากการมีเพศสัมพันธ์นอกจากการสืบเผ่าพันธุ์หรือการขยายพันธุ์ของมนุษย์ ดั่งนั้นเพศศาสตร์จึงรวมถึงความสุขที่สำคัญของมนุษย์ที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่อโบราณที่กล่าวถึงการมีเพศสัมพันธ์ไว้เฉพาะการทำหน้าที่สืบเผ่าพันธุ์ โดยจัดความสุขที่เกิดขึ้นว่าเป็นบาปที่ต้องชำระล้างออกไป สตรีมีหน้าที่ในการตั้งครรภ์และการเลี้ยงดูบุตร ซึ่งมีผลมาจากการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นสังคมจึงเริ่มผูกเรื่องเพศศาสตร์และการเจริญพันธุ์เข้าไว้ด้วยกันด้วยเหตุดังกล่าวหญิงหรือชายที่ต้องกรมีคู่ จึงต้องเลือกคู่ของตนให้เหมาะสมกับคุณสมบัติด้านเพศ และด้านการเจริญพันธุ์ไว้ในคนเดียวกัน
การพัฒนาด้านเพศศาสตร์
การพัฒนาดานเพศศาสตร์ สามารถแบ่งได้ 3 ยุค
1. ยุคบิดาธิปไตย (Male dominance and hierarchy)
2. ยุคความรักแบบโรแมนติก (Romantic love)
3. ยุคปัจจุบัน (Modern sexuality)
1.ยุคบิดาธิปไตย
ในยุคของผู้ชายเป็นใหญ่ และยุคของขุนนาง การแลกเปลี่ยนของมีค่าแสตรี ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเพศศาสตร์ก็จัดอยู่ในกระบวนการที่สำคัญของการคงอยู่ของชนเผ่า สตรีและเด็กจะถูกปกป้องอย่างดีจากศัตรูภายนอก เมื่อสังคมเข้มาสู้ยุคบิดาเป็นใหญ่ในบ้านเพศชายสามารถแสดงออกอย่างเสรีในด้านเพศต่อภรรยา หญิงรับใช้ ทาส หรือโสเภณี โดยมีหน้าที่ของสตรีมีเพียงการสร้างความพึ่งพอใจในด้านเพศต่อชาย และการเลี้ยงบุตร เมื่อศึกษาถึงเพศศาสตร์ในช่วง 200 ปี ที่แล้วมาใน ภาษากรีก คำว่า “aphrodisia” หมายถึงการแสดงกิรกยา หรือการสัมผัสซึ่งกระตุ้นความต้องการทางเพศ พฤติกรรมทางเพศและการเร้าอารมณ์ถูกพัฒนาผ่าน ทางอาหาร การแต่งงาน นครโสเภณีและการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กชาย โดยมีการควบคุมเรื่อง อาหาร กรออกกำลังกาย การนอนการสืบพันธ์ ให้มีความสอดคล้องกัน ปัญหาทางเพศทุกชนิด ไม่สามารถนำมาคุยกันได้ จนกระทั่งล่วงเข้าสู่ยุคของสังคมคริสเตียน เพศสัมพันธ์ในสมัยกรีกไม่จำเพราะต้องมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาเท่านั้น ยังสามารถมีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี ภรรยาลับ หรือทาสได้อีกด้วย โดยภรรยาต้องซื่อสัตย์ต่อสามีเท่านั้น ในยุคกรีกการแต่งงานได้รับและถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์
ในยุคโรมันมีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อเพศหญิง สถานภาพของเพศหญิงมีความสำคัญขึ้น และการแต่งานเป็นไปโดยสมัครใจก็เริ่มได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นในยุคกลาง เพศสัมพันธ์ถูกดำเนินโดยผ่านพิธีการแต่งาน ท่ารวมเพศ จำนวนครั้งและกระบวนการทางเพศสัมพันธ์ถูกนำมาศึกษาและพูดคุยกันอย่างแพร่หลาย ในขณะเดียวกันเพศศึกษายังถูกรังเกียจว่าเป็นเรื่องสกปรกการสืบพันธ์ได้รับการยอมรับเพียงเพื่อผลิตบุตรธิดา มีการกล่าวถึงความบริสุทธิ์ในสตรีเพศสัมพันธ์ระหว่างเครือญาติและความไม่สมดุลของชีวิตการแต่งาน
2. ยุคความรักแบบโรแมนติก
ในยุคศักดินาการแต่งงานถูกจำกัดเฉพาะกับกลุ่มสังคมเดียวกัน ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถรักษาทรัพย์สมบัติให้คงอยู่เฉพาะกับคนชั้นสูง เมื่อความรักถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ก็พบผลเสียของเรื่องนี้ตามมา ด้วยสมมุติฐานว่าด้วยบุคคลควรรักกับคนที่รักตนและพยายามรักษาคุณภาพของความสัมพันธ์นั้นไว้ ทำให้เกิดแรงกดดันระหว่างเพศขึ้น
ในศตวรรษที่ 19 ได้มีการขับเคลื่อนของขบวนการสังคมนิยมเพื่อนเปลี่ยนสัญลักษณ์ของความรักเป็นเพียงเพื่อนร่วมประสบการณ์ อย่างไรก็ตามความคิดดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในระหว่างนี้ความคิดเกี่ยวกับความคิดเสรีภาพทำให้บุคคลเริ่มพัฒนาศักยภาพของตน รูปแบบของความรักได้ถูกกำหนดขึ้นมามากมายผ่านวรรณกรรม บทภาพยนตร์ และโดยการหาความรู้ ความรักก็ยังเป็นปัจจัยในการหาคู่ซึ่งจะส่งผลให้มีการแต่งงานต่อไป ในศตวรรษที่ 19 ความรักเป็นเพียงเหตุผลเดียวในการเลือกคู่ เนื่องจากว่าความรักเป็นความรู้สึกที่มีแก่กันและกัน ดังนั้นความรักจึงเป็นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการ และพื้นฐานของสังคมจากสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นในอดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งแบ่งกลุ่มตามหน้าที่ทางสังคม ความรักก็ยังอยู่
เพศศาสตร์ถือว่าเป็นกลไก หรือว่าเป็นของมีค่าที่แท้จริงของความรักที่สร้างขึ้นระหว่างคู่หญิงชาย หรือเป็นเพียงสิ่งที่ทำไปเพื่อให้เพศสัมพันธ์สมบูรณ์ ในปัจจุบันความรักได้ถูกได้ถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของครอบครัว และความสัมพันธ์คล้ายกับการใช้เงินในระบบเศรษฐกิจและใช้อำนาจในการปกครอง ความรักยังเกี่ยวกับเรื่องเพศศาสตร์สัมพันธ์ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นคุณค่าที่แท้จริงของความรัก ความรักเป็นสิ่งถูกต้องเพียงอย่างเดียวในการหาคู่ครอง ปัจจัยอื่นๆ เช่นรายได้ ชั้นของสังคม หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตา ก็ถูกจัดเป็นอันดับรองในการเลือกคู่ ความต้องการของการมีเพศศาสตร์สัมพันธ์ในปัจจุบันได้เพิ่มสิทธิในการต้องการถึงจุดสุดยอด(Orgasm) เข้ามาเกียวข้องในกระบวนการมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย
ในยุคของสิทธิกับเสรีภาพส่วนบุคคล เพศศาสตร์สัมพันธ์ถูกรวมเข้ามากับความรักครอบครัวและการศึกษา ความรักในยุคน้คงอยู่เฉพาะตัวตนของคนที่ตนรักตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดแสดงออกในด้านการงานอย่างเปิดเผย ซึ่งอาจมีผลเสียต่อสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น และความรักได้ถูกวางค่าไว้ยิ่งใหญ่กว่าพิธีแต่งงาน
3. เพศศาสตร์ในปัจจุบัน
เมื่อมีการพัฒนาทางสังคม เพศศาสตร์ได้ถูกแบ่งตามหน้าที่เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศและการสืบพันธ์ ซึ่งหน้าที่ทั้งสองได้ถูกผสมผสานกันโดยชนชั้นกลาง ในศตวรรษที่ 19 ในลักษณะความรักแบบโรแมนติก ซึ่งมีการพัฒนาชีวิตคู่ดังกล่าวนี้ก็เริ่มมีปัญหาเมื่อคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล ซึ่งจะถูกจำกัดในฐานะของภรรยา เพศศาสตร์ในแง่ของศิลธรรม และเพศสัมพันธ์ได้ถูกแยกออกจากกัน ในแง่ของศิลธรรมถูกแยกออกในเรื่องการสืบเผ่าพันธุ์ และในแง่การมีเพศสัมพันธ์เพื่อตอบสนองความต้องการทางกาย
อย่างไรก็ตาม การกล่าวถึงเพศสัมพันธ์ว่าเป็นการแสดงออกถึงความรัก เป็นสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบันความรักถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่มีความยั่งยืน ในยุคของสิทธิมนุษยชนแบ่งบาน ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน รวมทั้งคู่สามีภรรยาก็มีสิทธิเท่าเทียมกันกับเพื่อนบ้านหรือคนรู้จัก ความเป็นอิสระทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นเหมือนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลดังในยุคเสรีภาพ ความหมายของคำว่ารักจึงถูกเปลี่ยนแปลงไป ด้วยความพยายามที่จะคงความรักระหว่างคู่ของตัว เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของหน้าที่ของครอบครัว เป็นปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่าความรักได้จืดจางอย่างรวดเร็ว แต่เด็กๆ ที่เป็นผลจากการมีเพศสัมพันธ์ของพวกเขา ยังต้องการความรักและความเอาใจใส่ไปอีกระยะหนึ่ง
4. เพศศาสตร์ในอนาคต
อนาคตของเพศศาสตร์ขึ้นอยู่กับการคงอยู่ของกระบวนการสิทธิเสรีภาพของบุพการี เพียงคนเดียวมากขึ้นและผลตามมาก็คือ การเรียนรู้ทางสังคมของเด็กและความแอนแอทางเศรษฐกิจของครอบครัว กระบวนการและสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลทำให้ชีวิตคู่ไม่ แตกต่างอะไรกับสัตว์ชั้นต่ำที่อาศัยอยู่ในระบบปิด ซึ่งมีความต้องการเพียงเพื่อผสมพันธ์และสืบเผ่าพันธุ์โดยไม่ต้องสนใจใยดีกับสังคม เมื่อมนุษย์ปิดตาจากสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่มีผลกระทบ แม้แต่จิตใจเองก็อาจยากที่จะทนภาวะนี้ได้
เมื่อสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลพัฒนากว้างออกไปปัญหาเกี่ยวกับการดำรงชีวิตที่เป็นไปด้วยตนเอง เพื่อตัวเอง มนุษย์จึงให้ความสำคัญต่อสุขภาพของสุขภาพของตนเองสูงสุด เนื่องด้วยสุขภาพเกี่ยวข้องโดยตรงกับเพศสัมพันธ์ สถานฟิตเนสและสถานความงามผุดขึ้น เนื่องด้วยสุขภาพนิยมอย่างมากทั้งเพศชายและเพศหญิง การโฆษณาส่งเสริมการขายใช้สัญลักษณ์ทางเพศเพื่อกระตุ้นลูกค้าวัยเจริญ เป็นเครื่องยืนยันถึงวัฒนธรรมส่วนบุคคล แต่การเติบโตขึ้นของเพศศาสตร์ในปัจจุบันมีบ้างส่วนที่มีวัตถุประสงค์เดียวกันกับอดีต ความเป็นอิสระของการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งในอดีตถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด แต่กลับได้รับการย่อมรับว่าเป็นเรื่องปกติในปัจจุบันโดยเฉพาะการนำไปพูดในสิ่งในลักษณะเปิดเผย เป็นการดำเนิดการภายใต้วัตถุประสงค์ที่ว่าจะหาความรู้และความจริง นอกจากนี้ความแข็งแรงของร่างกายมนุษย์ ถูกนำมาเกียวข้องกับเพศศาสตร์ ทำให้มนุษย์เกิดความเครียดและความเสี่ยง เพื่อทำให้ร่างกายมีความสมส่วนในการกระตุ้นทางเพศ
โดยสรุป การพัฒนาของเพศสัมพันธ์ในอนาคตน่าจะเป็นไปในลักษณะผสมผสานเมื่อเสรีภาพถูกแทนที่ ร่วมกับมีการเปลี่ยนแปลงของสังคม มีผลทำให้เกิดการปรับตัวของสังคมเพื่อให้บทบาทถูกแสดงออกอย่างถูกต้อง